Learning log
Third : (18th August, 2015)
Tense
เมื่อพูดถึงเรื่อง Tense แล้ว นักเรียน นิสิต
นักศึกษาหรือผู้ที่สนใจภาษาอังกฤษ โดนทั่วไปมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“นี่คือหัวใจของภาษาอังกฤษ” เพราะในชีวิตประจำวัน เราจะต้องพูดถึงเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่เราจะพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษได้ดีนั้น เราจะต้องรู้ว่า
เราจะใช้รูปกริยาใดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต(past events) เราจะใช้รูปกริยาใดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (present
events) เราจะใช้รูปกริยาใดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต (future
events) อย่าลืมว่าเราเรียนภาษาอังกฤษในฐานะที่เป็นภาษาต่างประเทศ (foreign
language) หรือภาษาที่สอง (second language) ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่ารูปกริยาที่ใช้ในภาษาอังกฤษนั้นไม่ตายตัวเหมือนภาษาไทย
ภาษาไทยมีรูปกริยาที่ตายตัวทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เช่น ไป มา ทำ เห็น กิน
เป็นต้น ซึ่งเราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่ว่าจะยากอะไร
ถ้าเราเข้าใจหลักการใช้ Tense ทั้ง 12
ชนิดดี ถ้าผู้เรียนทำความเข้าใจในแต่ละ Tense ให้ดี
ก็จะสามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเจ้าของภาษาเลยทีเดียว
อย่าท่องเพราะถ้าท่องจำแล้วจะลืมง่ายตาถ้าเข้าใจแล้วจะไม่มีวันลืม
ซึ่งทุกคนนำไปใช้อย่างได้ผล
Tense แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ ได้แก่
1)
Present Tense =
ปัจจุบันกาล (รูปกริยาที่เป็นปัจจุบัน)
2)
Past Tense = อดีตกาล (รูปกริยาที่เป็นอดีต)
3)
Future Tense = อนาคตกาล (รูปกริยาที่เป็นอนาคต)
Tense แต่ละชนิดแบ่งออกเป็น 4 Tense ย่อย รวมเป็น 12
Tense ได้แก่
1) Present Tense
1.1
Present Simple = ปัจจุบันธรรมดาหรือปัจจุบันง่ายๆ
1.2 Present Continuous /Progressive = ปัจจุบันกำลังกระทำ
1.3 Present
Perfect = ปัจจุบันสมบูรณ์
1.4 Present Perfect Continuous / Progressive = ปัจจุบันสมบูรณ์กำลังกระทำ
2) Past Tense
2.1 Past
Simple = อดีตธรรมดาหรืออดีตง่ายๆ
2.2 Past Continuous /Progressive = อดีตกำลังกระทำ
2.3 Past Perfect = อดีตสมบูรณ์
2.4 Past Perfect Continuous / Progressive = อดีตสมบูรณ์กำลังกระทำ
3) Future Tense
3.1 Future Simple = อนาคตธรรมดาหรืออนาคตง่ายๆ
3.2 Future Continuous /Progressive = อนาคตกำลังกระทำ
3.3 Future Perfect = อนาคตสมบูรณ์
3.4 Future Perfect Continuous / Progressive = อนาคตสมบูรณ์กำลังกระทำ
(1) Present Simple
Tense (ปัจจุบันธรรมดาหรือปัจจุบันง่ายๆ)
โครงสร้าง S+v1
…………..
หลักการใช้
1.1 ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
หรือเกิดขณะที่พูด เช่น
Ann watches television.
แอนดูโทรทัศน์
Ron takes a bath in the bathroom.
พิมพ์อาบน้ำในห้องน้ำ
1.2 ใชแสดงเหตุการณที่เปนจริงอยูเสมอ
ทั้งในอดีต, ปจจุบัน,อนาคต
The earth moves around the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย
Americans speak English.
คนอเมริกันพูดภาษาอังกฤษ
1.3 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกตินิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ
ซึ่งมักจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา (Adverb of time) และคำกริยาบอกความถี่ของเวลา
(Adverb of Frequency) ที่แสดงให้เห็นถึงความปกติหรือความสม่ำเสมอของเหตุการณ์รวมอยู่ในประโยค
ได้แก่คำต่างๆต่อไปนี้
ประเภท every…………ได้แก่
every day ทุกวัน
every night ทุกคืน
every week ทุกสัปดาห์
every month ทุกเดือน
every year ทุกปี
every Sunday ทุกวันอาทิตย์
now and then เป็นครั้งคราว
from time to time เป็นครั้งคราว
on Mondays = ever Monday ทุกๆวันจันทร์
ประเภท always……………ได้แก่
always เสมอๆ
usually ปกติ
normally ปกติ
often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง
occationally บางโอกาสหรือบางครั้ง
seldom ไม่ค่อยจะ
hardly แทบจะไม่
hardly ever แทบจะไม่เคย
rarely ไม่ค่อยจะหรือแทบจะไม่
scarcely แทบจะไม่
never ไม่เคย
ประเภท once…………….ได้แก่
once a day วันละครั้ง
twice a day วันละ 2 ครั้ง
three a day วันละ 3 ครั้ง
four times a day วันละ 4 ครั้ง
once a week สัปดาห์ละครั้ง
twice a week สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
three times a week สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
four times a week สัปดาห์ละครั้ง
once a month เดือนละครั้ง
once a year ปีละครั้ง
ตัวอย่างประโยคที่มี Adverb of
Frequency
My parents read the newspaper every day.
พ่อและแม่ของฉันอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน
Ann gets up at six o’clock every morning.
แอนตื่น 6 โมงเช้าทุกวัน
1.4 ใชแสดงเหตุการณ
หนือกิจกรรมตาง ๆ ที่กําหนดไวเปนโปรแกรม
ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น
The concert begins at 2.30.
คอนเสิร์ตเริ่มแสดงเวลา 2.30 น.
I fly to Chiengmai tomorrow
ฉันจะบินไปเชียงใหม่พรุ่งนี้
1.5 ใชแสดงเหตุการณแทน future tense ในประโยคเงื่อนไขที่1และใน subordinate clause โดยปกติจะอยู
ดานหลังดังตอไปนี้if, unless,
when, before, while, until, till, whenever, as long as, so long as, etc.
If it rains, I'll not go out.
ถ้าฝนตกฉันจะไม่ออกไปข้างนอก
I'll tell him when he comes.
ฉันจะบอกเขาเมื่อเขามา
1.6 ใชในประโยคคํากลาวที่เปนสุภาษิต หรือ คําพังเพย
Union is strength.
ความเป็นหนึ่งเป็นจุดแข็ง
While there is life, there is hope.
ในขณะที่มีชีวิตก็ยังมีความหวัง
1.7 ใชในประโยคคําสั่ง (commands) หรือ ขอรอง (requests)
Get out of my room!
ออกไปนอกห้องเรียน
Don't talk in the class.
ห้ามพูดในชั้นเรียน
1.8 ใชในการบรรยายเหตุการณตาง ๆ เชน บรรยายฉากการแสดงละคร บรรยายการ
แขงขันกีฬาทางวิทยุหรือ โทรทัศนเปนตน เช่น
When the curtain rises, Sunalee is
sitting at her desk. The phone rings.
เมื่อผ้าม่านยกขึ้น
สุมาลีนั่งบนโต๊ะของเธอ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
1.9 ใช้ในการบรรยายโปรแกรมที่ได้กำหนดไว้ในอนาคต
เช่น โปรแกรมการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงาน ท่องเที่ยวใช้มาก เช่น
We leave Bangkok at 7 a.m. next Saturday and arrive at Hua-Hin at
11 o’clock.
เราออกจากกรุงเทพ
เวลา 7 โมงเช้าของวันเสาร์หน้าและจะถึงหัวหินเวลา 11 โมง
Present Simple
Tense อาจจะอยู่ในรูปประโยคต่างๆได้ดังนี้
1. ประโยคบอกเล่า (Declarative
Sentences)
Pornsak plays football every
day.
พรศักดิ์เล่นฟุตบอลทุกวัน
Pornthep likes mango.
พรเทพชอบมะม่วง
2. ประโยคปฏิเสธ (Negative
Sentences)
She is not a nurse.
เธอไม่ใช่พยาบาล
They do not like durian.
พวกเขาไม่ชอบทุเรียน
3. ประโยคคำถาม (Interrogative
Sentences)
3.1 Yes – No
Questions (คำถามที่จะต้องตอบ Yes หรือ No
) เช่น
John : Are you
hungry?
คุณหิวไหม
Sara : Yes, I
am.
หิวค่ะ
3.2 Wh -
Questions (คำถามที่ไม่ต้องตอบ Yes หรือ No
) เช่น
Tom : Where do
you live?
คุณอาศัยอยู่ที่ไหนครับ
Wilai : I live
in Bamgkok.
ฉันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพค่ะ
3.3
Alternative Questions (คำถามที่ต้องให้เลือกตอบ) เช่น
Alex : Do you
want tea or coffee?
คุณต้องการชาหรือกาแฟครับ
Prasert :
Coffee, please
กาแฟครับ
4. Questions Tags (คำถามที่ผู้ถามมั่นใจว่าเหตุการณ์ต่างๆจะเป็นดั่งทิ่คิด
มีหลักการง่ายๆว่าประโยคหน้าเป็นประโยคบอกเล่าประโยคหลัง (tag) เป็นปฎิเสธ
ถ้าประโยคหน้าเป็นปฎิเสธ
ประโยคหลัง (tag) เป็นบอกเล่า
David : Duangdao has a car, hasn’t
she?
ดวงดาวมีรถยนต์อยู่คนหนึ่ง
ไม่ใช่หรือครับ
Dao : Yes, she has.
ใช่
เธอมีค่ะ
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าและประธานของประโยคเป็นเอกพจน์
(มีเพียงหนึ่ง) กริยาจะต้องเติม –s หรือ –es (ในกรณีที่กริยาไม่ใช่ Verb to be – is, am, are หรือ
Verb to have – have, has หรือไม่มีกริยาช่วยตัวอื่นๆ เช่น can,
may, must, dare, need) เช่น
John speaks English. จอห์นพูดภาษาอังกฤษ
Panya works every day. ปัญญาทำงานทุกวัน
Pimomwan watch TV every day. พิมลวรรณดูทีวีทุกวัน
He goes to school. เขาไปโรงเรียนทุกวัน
It rains. ฝนตก
หลักการเติม –s หรือ –es ที่ท้ายคำกริยา มีดังนี้
1) คำกริยาโดยทั่วไปสามารถเติม –s ได้ทันที เช่น
ask เป็น asks = ถาม
bring เป็น brings = นำมา
cook เป็น cooks = ทำกับข้าว,ทำอาหาร
2) คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ch, o, s, ss, sh, x และ z ให้เติม es ที่ท้ายคำ เช่น
touch เป็น touches =สัมผัส
go เป็น goes = ไป
bias เป็น biases = ใจโอนเอียง,
มีอคติ
kiss เป็น kisses = จูบ, หอม
fix เป็น fixes = ซ่อม
fizz เป็น fizzes = เสียงฟู่
3) คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม –es เช่น
cry เป็น cries = ร้องไห้
dry เป็น dries = ตาก, ทำให้แห้ง
fly เป็น flies = บิน
4.คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า
y เป็นสระ ให้เติม –s ที่ท้ายคำได้เลย
เช่น
buy เป็น buys = ซื้อ
obey เป็น obeys = เชื่อฟัง
play เป็น plays = เล่น
5.คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม
–s ที่ท้ายคำได้เลย เช่น
close เป็น
closes = ปิด
like เป็น likes = ชอบ
live เป็น lives = อาศัย
*ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าและประธานของประโยคเป็นพหูพจน์
(มีมากกว่าหนึ่ง) ไม่ต้องเติม –s หรือ –es (รวมถึงประธานที่เป็น I, You, We, They ด้วย) เช่น
They speak German. = เขาพูดภาษาเยอรมัน
Kanokwan and Piyapong work hard. = กนกวรรณและปิยะพงค์ทำงานหนัก
*ถ้าเป็นประโยคคำถาม ในกรณีที่กริยาไม่ใช้ Verb
to be – is, am, are หรือ Verb to have – have, has มีหลักดังนี้
Ø Verb to have ไม่มี
Ø Verb to be ไม่อยู่
Ø เอา Verb to do มาช่วย
เช่น Does he like football?
Does
Ton speak English?
*ถ้าเป็นประโยคปฏิเสธให้เอา Verb to do – do, does มาช่วยปฏิเสธ เช่น
She likes cats. (บอกเล่า)
She doesn’t like cats. (ปฏิเสธ)
*ถ้าประโยคบอกเล่ามี Verb to be –
is, am, are อยู่ด้วย เวลาจะเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามให้นำ Verb
to be ดังกล่าวมาวางไว้หน้าประโยคแล้วใส่เครื่องหมาย (?) ที่ท้ายประโยค เช่น
He is a teacher. (บอกเล่า)
Is he a
teacher? (คำถาม)
They are
students. (บอกเล่า)
Are they
students. (ปฏิเสธ)
*ถ้าประโยคบอกเล่ามี Verb to be –
is, am, are อยู่ด้วย เวลาจะเปลี่ยนเป็นประโยคปฏิเสธให้วาง not
ไว้หลัง Verb to be
ก็จะกลายเป็นประโยคปฏิเสธทันที เช่น
He is a doctor. (บอกเล่า)
He isn’t a
doctor. (ปฏิเสธ)
I am a lawyer.
(บอกเล่า)
I am not a
lawyer. (ปฏิเสธ)
*ถ้าประโยคบอกเล่ามี Verb to have
– have, has อยู่ด้วย
เวลาจะเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามมีหลักปฏิบัติดังนี้
Ø ให้นำ Verb to have มาวางไว้หน้าประโยค
Ø ใช้ Verb to do –
do, does มาช่วยถามก็ได้
Ø
ใส่เครื่องหมาย ?
เช่น He has a pen. (บอกเล่า)
Has he a pen? (คำถาม)
หรือ Does he have a pen? (คำถาม)
**ถ้าประโยคบอกเล่ามี Verb to have
– have, has อยู่ด้วย
เวลาจะเปลี่ยนเป็นประโยคปฏิเสธมีหลักปฏิบัติดังนี้
ให้วาง
not ไว้หลัง Verb to have
หรือ ใช้ Verb to do – do, does ตามด้วย
not มาช่วยปฏิเสธก็ได้
เช่น He has a watch. (บอกเล่า)
He hasn’t a
watch. (ปฏิเสธ)
He doesn’t a
watch. (ปฏิเสธ)
ข้อควรจำ : เมื่อใช้ Verb
to do – do, does
มาช่วยถามหรือปฏิเสธแล้วกริยาแท้จะต้องมีรูปเดียวคือ have เท่านั้น
ไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม เพราะรูปเดิมของ Verb to have ก็คือ have นั่นเอง
2. Present Continuous Tense
โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
( ประธาน + is,
am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing.)
หลักการใช้ Present Continuous Tense
1. ใช้กับการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด
- I am studying English . ( ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษ )
- Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )
- Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )
- I am playing football. ( ฉัน กำลังเล่น ฟุตบอล )
- They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์)
- I am studying English . ( ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษ )
- Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )
- They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์)
2. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่
ในขณะที่พูดซึ่งจะมีคำadverb of time ต่อไปนี้
now at
present
at this moment at
the present time
just now at
the moment
right now
in a minute
เช่น - Nick is listening to the radio now.
ขณะนี้นิคกำลังฟังวิทยุ
- At present, he is doing his
homework.
ในปัจจุบันเขากำลังทำการบ้านอยู่
3. ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เริ่มเกิดขึ้นก่อนพูดเป็นเวลานานซึ่งเป็นเหตุการณ์ทำอยู่ในช่วงเวลานั้น
- Dr. Pronto is teaching a course in English this semester.
- Dang is working for an examination.
- Manut is working for a publishing company.
4. ใช้แทน future tense เพื่อแสดงว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ตามปกติจะมีคำam, is, are going to + Ving กริยาที่ใช้มักเป็น verb of emotion (กริยาที่แสดงการเคลื่อนไหว เช่น leave, come, arrive) เช่น
- He is leaving on Monday.
- I am seeing him tomorrow.
5. ใช้หลังตัวเชื่อม (conjunction)
while และ as
- He come in while I am reading a newspaper.
- While Debbie was driving a car, his telephone rang.
- He was swimming happily while his wife was taking care of the
baby.
ประโยค Present Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present
Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงปฏิเสธให้นำnot มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + is, am, are + not + Verb 1 ing.
( ประธาน + is, am, are + not + กริยาช่อง 1 เติม ing. )
ตัวอย่าง :
- Somchai is not ( isn’t ) sleeping.
( สมชายไม่ได้กำลังนอนหลับ
)
- I am not playing football.
( ฉันไม่ได้ กำลังเล่น ฟุตบอล )
- They are not ( aren’t ) watching TV.
( พวกเขาไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์)
ประโยค Present Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present
Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำVerb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ?
( Is, Am, Are +ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing.
? )
ตัวอย่าง :
- Is Somchai sleeping ?
( สมชายกำลังนอนหลับใช่หรือไม่)
- Yes, he is .
( ใช่ เขากำลังนอนหลับ )
- No, he isn’t.
( ไม่เขาไม่ได้กำลังนอนหลับ )
- Are they studying English ?
(พวกเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษใช่หรือไม่)
-Yes, they are.
( ใช่พวกเขากำลังเรียน
)
- No, they aren’t .
( ไม่พวกเขาไม่ได้กำลังเรียน )
- Am I playing football ?
( ฉัน กำลังเล่น
ฟุตบอลใช่หรือไม่)
-Yes, you are.
( ใช่คุณกำลังเล่นฟุตบอล
)
- No, you aren’t . ( ไม่คุณไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอล )
หลักการเติม ing ท้ายคำกริยา
1. คำกริยาธรรมดา ให้เติม ing ได้เลย เช่น
speak ( พูด ) - speaking
eat (กิน) - eating
2. คำกริยาที่มีพยางค์เดียว มีตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วเติม ing เช่น
sit ( นั่ง ) - sitting
run ( วิ่ง ) - running
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e เพียงตัวเดียวให้ตัด
e ทิ้งแล้วเติม ing เช่น
come ( มา ) - coming
drive ( ขับรถ ) - driving
4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น
die ( ตาย ) - dying
lie ( นอน ) – lying
5. กริยาที่มีสองพยางค์หลังเสียงสั้นให้ซ้อนพยัญชนะที่เหมือนกันกับพยัญชนะท้ายเข้ามาอีกหนึ่งตัวก่อนเติม
ing เช่น
spin -spinning
slap -slapping
3. Present Perfect Tense
โครงสร้าง : Subject + have , has + Verb 3
( ประธาน + have , has + กริยาช่อง 3 )
1. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต
และดำเนินเรื่อยมาจนถึงขณะที่พูดและมีท่าทีว่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยมีAdverb of time : for, since, up to now, until now, so far, up to
the present, recently, lately เช่น
- He has lived here since 1969.
- He has lived here for thirteen years.
- He has lived here since his mother died.
- We have had no trouble with our T.V. set so for. (up to now)
- Somchai has studied English for 5 years.
(สมชายเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว
ขณะนี้ก็ยังเรียนอยู่ )
- I have worked in this company since 1990.
( ฉันทำงานในบริษัทนี้ตั้งแต่ปี1990
ขณะนี้ก็ยังทำอยู่)
- He has lived in Bangkok since 1990.
( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990
)
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect
Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb tohave ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + have , has + not + Verb 3
( ประธาน + have
, has + not + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง :
- I have not studied English for 5 years.
( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี)
- He has not lived in Bangkok since 1990.
( เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทำในอดีต
ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ และมักจะมีคำวิเศษณ์ คือ ever,never, once, twice มาใช้ร่วมเสมอ
- I have never seen him before.
( ฉันไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน )
- Have you ever been abroad?
( คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า )
- I have never seen him before.
( ฉันไม่เคยเห็นเข้ามาก่อน )
- Have you ever been abroad ?
( คุณเคยไปต่างประเทศหรือเปล่า )
- She has been to Bangkok twice.
( หล่อนเคยไปกรุงเทพฯ
2 ครั้ง )
3. ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือ การกระทำซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต
แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใดแน่หรือไม่ได้บ่งไว้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใด มักมี adverb of time เป็นเครื่องชี้บอกว่า เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
หรือ หลายครั้งแล้ว : manytimes, several times, over and
over, again, once, twice, three times, ever (never) etc.
- I have visited U.S.A. many times.
- Have you ever studied French?
- No, I have never studied French.
4. ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือ การกระทำซึ่งเกิดขึ้นในอดีต
ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดก่อนเวลาที่พูดเล็กน้อย หรือ
เหตุการณ์ที่ทำแล้วเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้ว โดยจะพบ Just, already, yet
- He has just come in.
- The train has already left.
- They haven’t finished this work yet.
หมายเหตุ *yet ใช้ใน negative sentence และ interrogative sentence เท่านั้น
กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่องมีที่มาดังนี้
1. มีรูปมาจากการเติม ed ที่ท้ายคำกริยา
เช่น
ช่องที่1 ช่องที่2 ช่องที่3 ความหมาย
walk walked
walked เดิน
move moved
moved เคลื่อน
opened opened
opened เปิด
clean
cleaned cleaned ทำความสะอาด
2. มีรูปมาโดยการผัน ซึ่งมีการกำหนดไว้โดยเจ้าของภาษา เช่น
ช่องที่1 ช่องที่2 ช่องที่3 ความหมาย
see saw
seen เห็น
make
made made ทำ
speak spoke spoken พูด
sell sold
sold ขาย
go
went gone ไป
ประโยค Present Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค
Present Perfect Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb tohave ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + have , has + not + Verb 3
( ประธาน + have
, has + not + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง :
- I have not studied English for 5 years.
( ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี)
- He has not lived in Bangkok since 1990.
( เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
ประโยค Present Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค
Present Perfect Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Have, Has + Subject + Verb 3 ?
(Have, Has + ประธาน + กริยาช่อง 3 ? )
ตัวอย่าง :
- Have you studied English for 5 years ?
( คุณเรียนภาษาอังกฤษมา 5
ปีแล้วใช่หรือไม่)
- Yes, I have.
( ใช่ ฉันเรียนภาษาอังกฤษมา 5 ปีแล้ว )
- No, I haven’t.
( ไม่ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาไม่ถึง 5 ปี)
- Has he lived in Bangkok since 1990 ?
( เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 ใช่หรือไม่)
-Yes, he has.
(ใช่เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 )
-No, he hasn’t.
( ไม่เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 )
4.Present Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง : Subject + have , has + been + Verb 1 ing
( ประธาน + have
, has + been + กริยาช่อง 1 เติม ing
)
หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense
1. ใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต(Present Perfect ProgressiveTense ใช้เหมือน Present Perfect Tense ต่างกันแต่เพียงว่า Present Perfect Progressive Tense เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต
)
- He has been speaking for 3 hours.
( เขาพูดมา 3 ชั่วโมงแล้ว )
- They have been playing football for 2 hours.
( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมา 2 ชั่วโมงแล้ว )
ใช้บรรยายการกระทำซึ่งเกิดขึ้นในอดีต
และดำเนินติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดตอน ซึ่งให้
ความหมายของประโยคเช่นเดียวกับ Present Perfect
Tense เพียงแต่ต่างกันว่า Present
Continuous Tense ให้ความหมายที่ชัดเจนกว่า
- They have lived here for years.
- They have been living here for four years.
Tense ใช้เหมือน Present Perfect
Tense ต่างกันแต่เพียงว่า Present Perfect
Progressive Tense เน้นความต่อเนื่องไปถึงอนาคต )
เช่น
Present Perfect Tense Present Perfect Progressive Tense
He has worked for 3 hours. ในประโยคนี้เขาทำงานมาแล้ว 3 ชั่วโมง แต่ไม่ทราบว่า
จะทำต่อไปอีกหรือไม่
He has been working for 3 hours.ในประโยคนี้เขาทำงานมาแล้ว
3 ชั่วโมง และจะทำ
ต่อไปอีก
ประโยค Present Perfect Continuous Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect
Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลังVerb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + have , has + not + been + Verb 1 ing
(ประธาน+have,
has+not + been+ กริยาช่อง 1 เติม ing
)
ตัวอย่าง :
- He has not been speaking for 3 hours. ( เขาพูดมาไม่ถึง
3 ชั่วโมง )
- They have not been playing football for 2 hours.(เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง
2 ชั่วโมง )
ประโยค Present Perfect Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Perfect
Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Have , Has + Subject +been + Verb 1 ing ?
(Have, Has + ประธาน + been
+ กริยาช่อง 1 เติม ing ?)
ตัวอย่าง :
- Has he been speaking for 3 hours ?
( เขาพูดมาตลอด 3
ชั่วโมงใช่หรือไม่)
-Yes , he has.
( ใช่
เขาพูดมาตลอด 3 ชั่วโมง )
- No, he hasn’t .
( ไม่เขาพูดมาไม่ถึง
3 ชั่วโมง )
- Have they been playing football for 2 hours ?
(เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาตลอด 2
ชั่วโมงใช่หรือไม่)
- Yes, they have.
( ใช่เขาเล่นมาตลอด
2 ชั่วโมง )
- No, they haven’t .
(ไม่ เขาเล่นมาไม่ถึง 2 ชั่วโมง )
5.Past Simple Tense
โครงสร้าง : Subject + Verb 2
( ประธาน + กริยาช่องที่2 )
1.ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างสมบูรณ์ในอดีต
โดยปกติจะพบ adverb of time ต่อไปนี้
- Yesterday , …………ago, last week/ ear/ Saturday ect. , that day,
the other day (week, year
etc.), in those days , in 1970
คำ กลุ่มคำ อนุประโยค
ago last
night when
he was young
once
last year when
he was five years old
yesterday
yesterday morning
when I lived in Tokyo
during the war
- He walked to school yesterday.
( เขาเดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้)
- They played volleyball last week.
( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
- Sam phoned a moment ago.
- His uncle died five years ago.
- The artist drew two pictures the other day.
- I lived in Chaing mai 3 years ago.
( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ
3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่แล้ว )
- His father died during the war.
( พ่อของเขาตายระหว่างสงคราม )
- He learned English when he was young.
( เขาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อเขาเป็นเด็ก
)
ประโยค Past Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple
Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ ทำได้ด้วยการใช้Verb to doช่องที่2 คือ did มาช่วย และเติม not ข้างหลัง
มีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Subject + did + not + Verb 1
( ประธาน + did
+ not + กริยาช่องที่1 )
- He did not ( didn’t ) walk to school yesterday.
( เขาไม่ได้เดินมาโรงเรียนเมื่อวานนี้)
- They did not play volleyball last week.
( เขาทั้งหลายไม่ได้เล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้ว )
ข้อสังเกต : เมื่อนำdid มาใช้ในประโยคแล้วต้องเปลี่ยนกริยาช่องที่ 2 ให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย
- ประโยค Past Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Past Simple
Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม ทำได้ด้วยการนำ did มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง : Did + Subject + Verb 1
( Did + ประธาน + กริยาช่องที่1 )
ตัวอย่าง : 1. Did he walk to school yesterday ?( เมื่อวานนี้เขาเดินมาโรงเรียนใช่หรือไม่)
- Yes, he did. ( ใช่ เขาเดินมา )
- No, he didn’t. ( ไม่เขาไม่ได้เดินมา )
2. Did they play volleyball last week ?( เขาทั้งหลายเล่นวอลเลย์บอลสัปดาห์ที่แล้วใช่หรือไม่)
- Yes, they did. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่น )
- No, they didn’t . ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้เล่น )
หลักการเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love - loved = รัก
move - move = เคลื่อน
hope - hoped = หวัง
2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry - cried = ร้องไห้
try - tried = พยายาม
marry - married = แต่งงาน
ข้อยกเว้น
ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น
play - played = เล่น
stay - stayed = พัก , อาศัย
enjoy - enjoyed = สนุก
obey - obeyed = เชื่อฟัง
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว
และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้าย
อีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan - planned = วางแผน
stop - stopped = หยุด
beg - begged = ขอร้อง
4. กริยาที่มี2
พยางค์แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว
และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่
เป็นตัวสะกดตัวเดียว
ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur - concurred = ตกลง, เห็นด้วย
occur - occurred = เกิดขึ้น
refer - referred = อ้างถึง
permit - permitted = อนุญาต
ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก
ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
cover - covered = ปกคลุม
open - opened = เปิด
5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น
walk - walked = เดิน
start - started = เริ่ม
worked - worked = ทำงาน
6.Past Continuous Tense or Past Progressive Tense
โครงสร้าง: Subject + was , were + Verb 1 ing
( ประธาน + was
, were + กริยาช่องที่1 เติม ing )
1. ใช้เมื่อมีเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต
โดยปกติจะมีคำบอกเวลาแสดงให้เห็นอยู่ด้วย เช่น atsix
o’clock, at the time, last night an hour ago, this morning, all the afternoon
all night.
- It was raining at 10 o’clock last night.
- I was living abroad in 1987.
- I was playing football at 4 pm. yesterday.
( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4
โมงเย็นเมื่อวานนี้)
- She was watching TV at 6 pm. yesterday.
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6
โมงเย็นเมื่อวานนี้)
- They were studying English at 9 am. yesterday.
- ( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9
โมงเช้าเมื่อวานนี้)
- I was cleaning my room at 9 o’clock yesterday.
( ฉันกำลังทำความสะอาดห้องตอน 9
โมงเมื่อวานนี้)
-They were reading newspaper at 8 o’clock yesterday.
( เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอน 8
โมงเมื่อวานนี้)
2. ใช้เมื่อมีเหตุการณ์2
เหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต โดยที่เหตุการณ์หนึ่งได้กำลังดำเนินอยู่และในระหว่างนั้นมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกขึ้นมา
ปกติจะมีconjunction เชื่อม 2
เหตุการณ์นี้เข้าด้วยกัน คือ while, as และ when
- The went out while (as) her children were sleeping.
- When the postman came, I was studying my English lesson.
- While he was walking along the street , he saw an accident.
( ขณะที่เขากำลังเดินไปตามถนนเขาเห็นอุบัติเหตุ)
- was taking a bath when the telephone rang.
( ฉันกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อโทรศัพท์มันดัง )
3. ใช้แสดงเหตุการณ์ 2
เหตุการณ์ซึ่งกำลังดำเนินอยู่พร้อมกันในอดีตโดยใช้while,
as เป็นตัวเชื่อมเหตุการณ์
- While I was writing letters, she was readying a book.
- My mother was cooking while I was watching TV.
( แม่ของฉันกำลังทำอาหารในขณะที่ฉันกำลังดูโทรทัศน์)
- He was standing while she was sitting.
( เขากำลังยืนในขณะที่หล่อนกำลังนั่ง )
ประโยค Past Continuous Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Continuous
Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้นำnot มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + was, were + not + Verb1 ing.
( ประธาน + was
, were + not + กริยาช่องที่1 เติม ing
)
ตัวอย่าง
- I was not ( wasn’t ) playing football at 4 pm. yesterday.
( ฉันกำลังเล่นฟุตบอลตอน 4
โมงเย็นวานนี้)
- She was not watching TV at 6 pm. yesterday.
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6
โมงเย็นเมื่อวานนี้)
- They were not (weren’t ) studying English at 9 am. yesterday.
( เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน
9 โมงเช้าเมื่อวานนี้)
ประโยค Past Continuous Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Continuous
Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย
Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Was , Were + Subject + Verb 1 ing. ?
( Was , Were + ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing.
? )
- Was she watching TV at 6 pm. yesterday ?
( หล่อนกำลังดูโทรทัศน์ตอน 6
โมงเย็นวานนี้ใช่หรือไม่)
- Yes, she was. ( ใช่หล่อนกำลังดูโทรทัศน์)
- No, she wasn’t ( ไม่หล่อนไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์)
- Were they studying English at 9 am. yesterday ?
(เขาทั้งหลายกำลังเรียนภาษาอังกฤษตอน 9
โมงเช้าวานนี้ใช่หรือไม่)
- Yes, they were. ( ใช่เขาทั้งหลายกำลังเรียน )
- No, they weren’t. ( ไม่เขาทั้งหลายไม่ได้กำลังเรียน )
7.Past Perfect Tense
โครงสร้าง : Subject + had + verb 3
( ประธาน + had
+ กริยาช่อง 3 )
- He had gone. ( เขาได้ไปแล้ว )
- She had studied Thai. ( หล่อนได้เรียนภาษาไทย )
ประโยค Past Perfect Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect
Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง Verb to haveซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + had + not + Verb 3
( ประธาน + had
+ not + กริยาช่อง 3 )
- He had not (hadn’t ) gone. ( เขายังไม่ได้ไป
)
- She had not studied Thai. ( หล่อนยังไม่ได้เรียนภาษาไทย
)
ประโยค Past Perfect Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect
Tense ให้มีความหมายเชิงคำถามให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย
Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Had + Subject + Verb 3 ?
(Had + ประธาน +
กริยาช่อง 3 ? )
ตัวอย่าง
- Had he gone ? ( เขาได้ไปแล้วใช่หรือไม่)
- Yes, he had. ( ใช่เขาได้ไปแล้ว )
- No, he hadn’t. ( ไม่เขายังไม่ได้ไป )
- Had she studied Thai ? ( หล่อนได้เรียนภาษาไทยแล้วใช่หรือไม่)
- Yes, she had. ( ใช่หล่อนได้เรียนแล้ว )
- No, she hadn’t. ( ไม่หล่อนยังไม่ได้เรียน )
หลักการใช้Past Perfect Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ2
อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ดังนี้
1.1 เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Past Perfect
Tense
1.2 เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้Past Simple
Tense
เช่น
- We went out for a walk after we had eaten dinner.
( พวกเราออกไปเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหารเย็น )
8.Past Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง : Subject + had + been + Verb 1 ing
( ประธาน + had
+ been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง :
- They had been playing football for three hours.( เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลโดยไม่หยุดมา
3 ชั่วโมงแล้ว )
- It had been raining for five hours.( ฝนได้ตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา
5 ชั่วโมงแล้ว )
ประโยค Past Perfect Continuous Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect
Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลังVerb to have ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + had + not + been + Verb 1 ing
(ประธาน + had
+ not + been + กริยาช่อง 1 เติม ing
)
ตัวอย่าง :
- They had not ( hadn’t ) been playing football for three hours.
( เขาทั้งหลายเล่นฟุตบอลมาไม่ถึง
3 ชั่วโมง )
- It had not been raining for five hours.
( ฝนตกมาไม่ถึง 5 ชั่วโมง )
ประโยค Past Perfect Continuous Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Past Perfect Progressive
Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถาม ให้นำVerb to have มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Had + Subject + been + Verb 1 ing ?
( Had + ประธาน + been
+ กริยาช่อง 1 เติม ing ? )
ตัวอย่าง :
- Has they been playing football for three hours ?
( เขาทั้งหลายได้เล่นฟุตบอลมาตลอด 3
ชั่วโมงใช่หรือไม่)
-Yes, they had. ( ใช่ เขาทั้งหลายเล่นมา 3 ชั่วโมงแล้ว )
- No, they hadn’t.( ไม่ เขาทั้งหลายเล่นมาไม่ถึง 3 ชั่วโมง )
- Had it been raining for five hours ?
( ฝนตกโดยไม่หยุดมาเป็นเวลา 5
ชั่วโมงแล้วใช่หรือไม่)
- Yes, it had. ( ใช่มันตกมา 5 ชั่วโมงแล้ว )
- No, it hadn’t. ( ไม่ใช่มันตกมาไม่ถึง 5 ชั่วโมง )
หลักการใช้Past Perfect Continuous Tense
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ2
อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุดลงไปแล้วทั้ง 2 เหตุการณ์ดังนี้
1. เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Past Perfect
Progressive Tense
2.เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้Past Simple
Tense เช่น
- He had been sleeping for 30 minutes before we woke him up.
( เขาได้นอนหลับมา 30
นาทีก่อนที่เราจะปลุกเขา )
- He sat down after he had been playing football for an hour.
( เขานั่งพักหลังจากได้เล่นฟุตบอลมา 1 ชั่วโมง )
9.Future Simple Tense
โครงสร้าง : Subject + will, shall + verb 1
( ประธาน + will
, shall + กริยาช่อง 1 )
ตัวอย่าง :
- I shall go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้)
- She will study Spanish next week. ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า
)
1. ใช้แสดงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต ปกติจะมี adverb of time; tomorrow ,next week ( month, year, Monday ect.)
this afternoon etc. ขยายอยู่ในประโยค ด้วย
- I’ll telephone you this afternoon.
- They will sign the contract tomorrow.
- My father will go to America next month. ( พ่อของฉันจะไปอเมริกาเดือนหน้า
)
- I shall play football tomorrow afternoon.( ฉันจะเล่นฟุตบอลบ่ายวันพรุ่งนี้)
ใช้ในการแสดงความสงสัยหรือในประโยคเงื่อนไขใน
Condition type 1
- Perhaps she’ll come.
- If I see her ,I’ll give a book.
หมายเหตุสามารถใช้to be going to แทน shall ได้ใน future simple โดมีข้อเปรียบเทียบได้ดังนี้
S + V.to be going to + V ing ………
1. ใช้เพื่อแสดงถึงความตั้งใจที่จะทำไว้ล่วงหน้าแล้วและบ่อยครั้งที่แผนการบางอย่างกำหนดไว้แล้ว
- I have bought some bricks and I’m going to build a garage.
2. ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
- He’s going to die.
3. แสดงความไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้
- Mary is going to have a baby in may.
4.แสดงการคาดคะเนว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
- I think it’s going to rain.
S + will/shall + V ing + ……….
1. ใช้แสดงถึงความตั้งใจที่ไม่ได้คิดที่จะทำล่วงหน้า
- There’s somebody at the door, I’ll go and open it.
2. ใช้แสดงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกล
หรือไม่แน่นอน
- We’ll all die some day
3. ใช้“ will be” แสดงอนาคตที่แท้จริง
- Tomorrow will be Sunday.
ประโยค Future Simple Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple
Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือ shallซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will, shall + not + verb 1
( ประธาน + will
, shall + not + กริยาช่อง 1 )
ตัวอย่าง :
- I shall not ( shan’t ) go to Chiang mai tomorrow. ( ฉันจะไม่ไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้)
- She will not ( won’t ) study Spanish next week. ( หล่อนจะไม่เรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้า
)
ประโยค Future Simple Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future Simple
Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ will หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will,Shall + Subject + verb 1 ?
( Will, Shall + ประธาน + กริยาช่อง 1 ? )
ตัวอย่าง :
- Shall you go to Chiang mai tomorrow ? ( คุณจะไปเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่)
- Yes, I shall. ( ใช่ฉันจะไป )
- No, I shan’t. ( ไม่ฉันจะไม่ไป )
- Will she study Spanish next week ? ( หล่อนจะเรียนภาษาสเปนสัปดาห์หน้าใช่หรือไม่)
- Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเรียน )
- No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เรียน )
10. Future Continuous Tense
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + be + verb 1. ing
( ประธาน + will
,shall + be + กริยาช่อง 1 เติม ing
)
ตัวอย่าง :
- She will be playing tennis.( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่)
- They will be cooking.( เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ )
1. ใช้เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ที่พอถึงเวลานั้นในอนาคต
เหตุการณ์หรือการกระทำอย่างหนึ่งจะกำลังดำเนินอยู่ โดยมี adv. of time ต่อไปนี้ at this time
tomorrow, When I get back home tomorrow etc. (จะสังเกตุว่าจะมีเวลากำหนดและมีคำแสดง
อนาคต กำกับอยู่ด้วย )
- We shall be waiting for you of this time Tense.
- He will be reading when I visit him.( เขาจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อผมไปเยี่ยมเขา
)
- I shall be watching TV when he arrives.( ฉันจะอ่านหนังสืออยู่เมื่อเขามาถึง
)
ประโยค Future Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future
Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม not หลัง will หรือshall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not + be + verb 1. ing
(ประธาน + will ,shall + not + be + กริยาช่อง 1 เติม ing
)
ตัวอย่าง :
- She will not ( won’t ) be playing tennis.( หล่อนจะไม่กำลังเล่นเทนนิสอยู่)
- They will not ( won’t ) be cooking.( เขาทั้งหลายจะไม่กำลังทำอาหารอยู่
)
ประโยค Future Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Future
Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำwill หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยค
และตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + be + verb 1 ing ?
( Will , Shall + ประธาน + be +
กริยาช่อง 1 เติม ing ? )
ตัวอย่าง :
- Will she be playing tennis ?( หล่อนจะกำลังเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่)
- Yes, she will. ( ใช่หล่อนจะเล่นอยู่)
- No, she won’t. ( ไม่หล่อนจะไม่เล่นอยู่)
- Will they be cooking ?( เขาทั้งหลายจะกำลังทำอาหารอยู่ใช่หรือไม่)
- Yes, they will. ( ใช่เขาทั้งหลายจะทำอยู่)
- No, they won’t. ( ไม่ใช่เขาทั้งหลายจะไม่ทำอยู่ )
11.Future Perfect Tense
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + have + verb 3
( ประธาน + will
,shall + have + กริยาช่อง 3 )
ตัวอย่าง :
- She will have gone.( หล่อนคงจะไปแล้ว )
- They will have cooked.( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารแล้ว )
การใช้เหมือนกับ Future Perfect
Tense ต่างกันเพียงว่า Tense นี้แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของการกระทำว่าเมื่อถึงเวลานั้นในอนาคตการกระทำจะยังคงดำเนินอยู่และจะดำเนินต่อไปอีก
- By nightfall I will have been working for four hours without a
rest.
(พอตกกลางคืนผมคงจะทำงานติดต่อกันมาเป็นเวลา 4 ชม. โดยไม่ได้หยุดพักผ่อนเลย และผมจะทำงานต่อไปอีก)
- By nightfall I will have worked for four hours without a rest.
(พอตกกลางคืนผมจะทำงานของผมแล้วเสร็จพอดี ซึ่งใช้เวลา 4 ชม. โดยไม่ได้หยุดพักผ่อนเลย และผมฏ้จะยุติการทำงาน
ไม่ทำงานต่อไปอีก)
12.Future Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง : Subject + will, shall + have + been + verb 1. ing
(ประธาน+ will
shall +have +been + กริยาช่อง 1 เติม ing
)
ตัวอย่าง :
- She will have been playing tennis.( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่)
- They will have been cooking.( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่
)
- การใช้เหมือนกับ Future Perfect
Tense ต่างกันเพียงว่า Tense นี้แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของการกระทำว่าเมื่อถึงเวลานั้นในอนาคตการกระทำจะยังคงดำเนินอยู่และจะดำเนินต่อไปอีก
- By nightfall I will have been working for four hours without a
rest.
(พอตกกลางคืนผมคงจะทำงาน๖ติดต่อกันมา๗ เป็นเวลา 4 ชม. โดยไม่ได้หยุดพักผ่อนเลยและผมก็จะทำงานต่อไปอีก)
- By nightfall I will have worked for four hours without a rest
(พอตกกลางคืนผมจะทำงานของผมแล้วเสร็จพอดี ซึ่งใช้เวลา 4 ชม. โดยไม่ได้หยุดพักผ่อนเลย และผมก็จะยุติการทำงาน
ไม่ทำงานต่อไปอีก)
ใช้กับเหตุการณ์2
อย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนหลังกันในอนาคตแต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำดังนี้
1. เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้Future Perfect
Progressive Tense
2. เหตุการณ์ใดเกิดทีหลังใช้Present Simple
Tense
- He will have been reading for two hours when I visit him.
( เขาคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว
เมื่อผมไปเยี่ยมเขา )
- I shall have been watching TV for an hour when he arrives.
( ฉันคงจะอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลา 1 ชั่วโทงแล้ว
เมื่อเขามาถึง )
ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค
Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธให้เติม
not+ หลัง
will หรือ shall ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Subject + will ,shall + not +have + been +verb 1. ing
(ประธาน + will , shall + not + have + been + กริยาช่อง 1 เติม ing )
ตัวอย่าง :
- She will not ( won’t ) have been playing tennis.( หล่อนคงจะไม่เล่นเทนนิสอยู่
)
- They will not have been cooking.( เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอาหารอยู่
)
ประโยค Future Perfect Progressive Tense เชิงเชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค
Future Perfect Progressive Tense ให้มีความหมาย
เชิงคำถามให้นำwill
หรือ shall มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง : Will , Shall + Subject + have + been + verb 1. ing ?
( Will ,Shall +ประธาน + have
+ been + กริยาช่อง1 เติม ing )
ตัวอย่าง :
- Will she have been playing tennis ?( หล่อนคงจะเล่นเทนนิสอยู่ใช่หรือไม่)
- Yes, she will. ( ใช่หล่อนคงจะเล่นอยู่)
- No, she won’t . ( ไม่หล่อนคงจะไม่เล่นอยู่)
- Will they have been cooking ?( เขาทั้งหลายคงจะทำอาหารอยู่ใช่หรือไม่)
- Yes, they will. ( ใช่เขาทั้งหลายคงจะทำอยู่ )
- No, they won’t . ( ไม่เขาทั้งหลายคงจะไม่ทำอยู่)
สิ่งที่สำคัญพื้นฐานของการศึกษาภาษาอังกฤษนอกเหนือจากคำศัพท์ที่ต้องจำยังมีเรื่อง
Tense ที่เป็นไวยากรณ์พื้นฐานของภาษาอังกฤษ Tense คือ
โครงสร้างของกริยาที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด Tense เป็นเรื่องสำคัญมากถ้าเราใช้ไม่ถูกต้องเราก็จะสื่อภาษากันไม่ได้
ที่ผ่านมาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในหลายๆสถาบัน หลายๆระดับ
อาจยังไม่สามารถที่จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่อง Tense ได้
ไม่สามารถจำโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 Tense ได้ รวมทั้งไม่สามารถที่จะนำความรู้เรื่อง
Tense ไปใช่ในการศึกษา การทำงาน หรือการติดต่อสื่อสารได้ถูกต้อง
ดังนั้นการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเข้าใจ Tense และสามารถนำ Tense ไปประยุกต์ใช้ได้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากผู้เรียนเข้าใจ จดจำ
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ย่อมที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก
เพราะผู้เรียนสามารถฟัง พูด อ่าน เขียนได้อย่างแม่นยำ
และสิ่งที่สำคัญคือสื่อสารได้อย่างถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น