การศึกษานอกชั้นเรียน
: (6th October,2015)
6 October 2015
การเขียน
การเขียน
การเขียนเป็นระบบการสื่อสาร หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพื่อแสดงออกเพื่อความรู้
ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดยใช้ตัวหนังสือและเครื่องหมายต่างๆเป็นสื่อ
ดังนั้นการเขียนจึงเป็นทักษะการใช้ภาษาแทนคำพูดที่สามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด
การเขียนที่เป็นเรื่องราวเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนนั้น
จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด
ทักษะการใช้ภาษาเขียน ต้องอาศัยพื้นฐานความรู้จากการฟัง การพูด และการอ่าน
เพราะจากพื้นฐานดังกล่าว จะทำให้มีความรู้ มีข้อมูล และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด
ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมาสื่อ
สารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นดิฉันจึงคิดที่จะพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ
โดยการฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการเพิ่มพูน ทักษะการเขียนให้แก่ตัวดิฉัน
ในระหว่างวันที่ 6 – 12 ตุลาคม 2558
วันที่ 6 ตุลาคม 2558
ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการเขียนประโยค If Clauses หรือ Conditional Sentences ประเภทที่ 1
ใช้สำหรับพูดถึงความจริงทั่วไป โดยใช้ present simple ในอนุประโยคทั้งสองประโยค
If + present simple, …. present simple. (คนไทยมักจะเขียนว่า
If + subject + V1, subject + V1) โดยดิฉันได้ฝึกเขียนประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่น
If I have enough money, I will go to Japan. I won’t go outside if the weather is
hot. If I have time, I will help
you. If you eat too much, you will get
fat If water is heated , it
boils. If students don’t study , they
usually fail. I sing if I am
happy. If you throw a stone into water,
it sinks. I cannot understand you if you
speak Chinese. Plants grow quickly if
you water them. If you touch a fire, you
get burned. • People die if
they don’t eat. • You get water if you mix hydrogen and oxygen. • If babies are hungry, they cry. If water
reaches100 degrees, it boils. จากการที่ได้ฝึกทักษะการเขียนประโยคเกี่ยวกับ If Clauses หรือ Conditional
Sentences ประเภทที่ 1นี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้เกี่ยวกับการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต
ที่แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible
condition) มากยิ่งขึ้นซึ่งก็ทำให้อันสามารถแต่งประโยคได้หลากหลายยิ่งขึ้น
วันที่ 8 ตุลาคม 2558
ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการเขียนประโยค If Clauses หรือ Conditional Sentences ประเภท FIRST
Conditional Sentences ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
ซึ่ง First
conditional sentences ใช้สำหรับพูดว่าถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น
โดยใช้ If + present simple แล้วตามด้วย future
simple โครงสร้าง if + present simple, will + infinitive (มักจะเขียนว่า If + subject + V1, subject + will/be going to + V1) ใช้พูดถึงเหตุการณ์เฉพาะซึ่งอาจเป็นไปได้
หรือผู้พูดคิดว่าจะเกิดขึ้น เช่น If it rains, I
won’t go to the park. ถ้าฝนตก ฉันจะไม่ไปสวนสาธารณะ If I study today, I‘ll go
to the party tonight. ถ้าวันนี้ฉันอ่านหนังสือ คืนนี้จะไปปาร์ตี้ If I have enough money,
I‘ll buy some new shoes. ถ้าฉันมีเงินพอ ฉันจะซื้อรองเท้าใหม่ She‘ll be late if the train
is delayed. เธอจะไปสายถ้ารถไฟมาช้า She‘ll miss the bus if she doesn’t leave
soon. เธอจะไม่ทันรถเมล์ถ้าไม่ออกจากบ้านตอนนี้ If I see her, I‘ll tell
her. ถ้าพบเขาฉันจะบอกเขา จากการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนประโยคเกี่ยวกับ
If Clauses หรือ Conditional
Sentences ประเภท First conditional sentences นี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
ซึ่ง First
conditional sentences ใช้สำหรับพูดว่าถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น โดยใช้ If +
present simple แล้วตามด้วย future simple มากยิ่งขึ้นซึ่งก็ทำให้ดิฉันสามารถแต่งประโยคได้ดียิ่งขึ้น
วันที่ 9 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้พัฒนาทักษะการเขียน โดยฝึกเขียนประโยค If Clauses หรือ Conditional
Sentences ประเภท SECOND Conditional Sentences ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน
หรือ อนาคต ประโยคแบบ second conditional Sentences นี้ใช้ If + past
simple คู่กับ would + infinitive โครงสร้าง • if + past simple, …would +
infinitive เช่น If she studied harder, she would pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอคงสอบผ่าน
(แต่ผู้พูดไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือ คิดว่าเธอคงไม่ตั้งใจมากขึ้น
และเธอคงสอบไม่ผ่าน) (สังเกต ว่าอนุประโยคที่ต่อหลัง if ถ้าคำกิริยาเป็น
verb to be จะใช้ were ได้กับประธานทุกตัว
เช่น If I were you… ถ้าฉันเป็นเธอ… แต่จะใช้ was ตรงตามประธานก็ได้)
และใช้พูดถึงความใฝ่ฝันว่าอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตแต่อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ เช่น If I won the lottery, I
would buy a big house. ถ้าถูกล็อตเตอรี่จะซื้อบ้านหลังใหญ่
(ซึ่งคิดว่าคงไม่ถูกล็อตเตอรี่หรอก) If I met the Queen of England, I would say
hello. ถ้าได้พบราชินีอังกฤษฉันจะกล่าวสวัสดี She would travel all over the world if she
were rich. เขาจะเที่ยวรอบโลกถ้ามีเงินมากๆ She would pass the exam if she ever
studied. เธอคงจะสอบผ่านหรอกถ้าเธอได้เคยอ่านหนังสือบ้าง (ซึ่งจริงๆไม้อ่านเลย) – ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย
ไม่จริงเลย เช่น
If I had his number, I would call him. ถ้ามีเบอร์เขาฉันจะโทรหาเขา
(แต่จริงๆฉันไม่มีเบอร์เขา) If I were you, I wouldn’t go out with that
man. ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไม่ไปเที่ยวกับเขา
จากการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนประโยคเกี่ยวกับ
If Clauses หรือ Conditional
Sentences ประเภท SECOND Conditional Sentences นี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน
ใช้พูดถึงความใฝ่ฝันว่าอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตแต่อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้และใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย
ไม่จริงเลย มากยิ่งขึ้นซึ่งก็ทำให้ดิฉันสามารถแต่งประโยคได้ดียิ่งขึ้น
วันที่ 11 ตุลาคม 2558
ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการเขียนประโยค If Clauses หรือ Conditional Sentences ประเภท THIRD
Conditional Sentences ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต
ประโยค conditional แบบนี้ใช้ If + past
perfect (subject + had + V3) คู่กับ would have + V3 โครงสร้าง if + past perfect, …would + have + past participle ประโยคแบบนี้ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร เช่น If she had studied, she would have passed the
exam. ถ้าเขาอ่านหนังสือ เขาคงสอบผ่านไปแล้ว
(ซึ่งจริงๆผู้พูดรู้ว่าไม่ได้อ่านและสอบตก) If I hadn’t
eaten so much, I wouldn’t have felt sick. ถ้ากินไม่มากฉันคงไม่ป่วย
(แต่จริงๆฉันกินเยอะ จึงป่วย) If we had taken a taxi, we wouldn’t have
missed the plane. ถ้าเราขึ้นแท็กซี่มาเราคงไม่ตกเครื่องบิน She wouldn’t have been
tired if she had gone to bed earlier. เธอจะไม่เพลียถ้าเข้านอนเร็วกว่านี้ She would have become a
teacher if she had gone to university. เธอคงจะเป็นครูถ้าเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย He would have been on time
for the interview if he had left the house at nine. เขาคงมาสัมภาษณ์ทันเวลาถ้าออกจากบ้านตอนเก้าโมง จากการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนประโยคเกี่ยวกับ
If Clauses หรือ Conditional
Sentences ประเภท THIRD Conditional Sentences ทำให้ดิฉันได้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต
ประโยคแบบนี้ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร มากยิ่งขึ้น
ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่สำคัญทักษะหนึ่งจากทักษะทั้งสี่
คือ ทักษะการฟัง, ทักษะการพูด, ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน การเขียนจึงเป็นทักษะการใช้ภาษา
แทนคำพูดที่สามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด
การเขียนที่เป็น เรื่องราวเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียน
เพราะการเขียนเป็นระบบการสื่อสาร หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพื่อแสดงออกซึ่งความรู้
ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดย ใช้ตัวหนังสือ และเครื่องหมายต่างๆเป็นสื่อ
การที่จะเป็นผู้เขียนที่ดีได้นั้น
จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด
มีประสบการณ์การเขียนที่ดี ต้องมีทักษะการใช้ภาษาเขียนที่ดี
ศาสตร์และศิลป์แห่งการใช้คำ มีความถูกต้อง ชัดเจน สละสลวย มีภาพพจน์
ในการที่จะเป็นผู้เขียนที่ดีจะต้องอาศัยพื้นฐานความรู้จากการฟัง การพูด
และการอ่าน เพราะจากพื้นฐานดังกล่าว จะทำให้มีความรู้ มีข้อมูล
และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด
ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมาสื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น