วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

งานแปล นิยายเรื่อง White Death




งานแปล นิยายเรื่อง White Death
บทที่ 1

ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเรือนจำ คุกมีขนาดใหญ่ เป็นอาคารสกปรกในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ผู้หญิงคนนั้นร้อนร้อนมากและเธอไม่ชอบเสียงดังจากรถยนต์ทั้งหมดบนในถนน เธอเป็นชาวอังกฤษและเธอไม่ชอบประเทศร้อนหรือเสียงดังมาก เธอเป็นคนที่สูงประมาณห้าสิบปีที่มีตาสีฟ้าและใบหน้ายาว ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงและเธอดูเหนื่อยและโกรธ
เธอเคาะที่ประตูคุก เป็นเวลานานไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นหน้าต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเปิดประตูและผู้ชายคนหนึ่งที่มองออกไปที่เธอ
"ใช่ สิ่งที่คุณต้องการ”
“ฉันต้องการที่จะเห็นลูกสาวของฉัน มันเป็นสิ่งสำคัญมาก”
“ชื่อ”
 "แอนนา ฮาร์แลนด์"
นั่นคือชื่อหรือชื่อลูกสาวของคุณใช่หรือไม่?"
 ชื่อลูกสาวของฉันคือ ซาร่าห์ ฮาร์แลนด์
"คุณไม่สามารถเข้าเยี่ยมเธอในวันนี้ กลับมาในวันพุธ”
“ไม่ ฉันมาจากประเทศอังกฤษเพื่อที่จะพบเธอในวันนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญมาก เธอจะไปศาลในวันพรุ่งนี้ ได้โปรดให้ฉันพบกับเธอในตอนนี้!"
“รอสักครู่”
หน้าต่างเล็กปิด แต่ประตูไม่ได้เปิด ผู้หญิงคนนั้นรออยู่หน้าประตูเป็นเวลานาน ผู้คนจำนวนมากบนถนนมองไปที่เธอ หนึ่งหรือสองชายหนุ่มหัวเราะ แต่เธอก็ไม่ได้ย้ายไปไหน เธอยังยืนอยู่ที่นั่นบนถนนที่ร้อนหน้าคุกและรอคอย

First : Learning log (7th August, 2015)





Learning log
First : (7th August, 2015)

English learning- conscious การรู้ตัว
English acquisition – subconcious จิตใต้สำนึก
ESL= English as a second language เป็นการสอนภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
EFL = English as an international language การสอนภาษาอังกฤษเพื่อเป็นภาษาต่างชาติ
I+1= Comprehension Input
นักเรียน
ครูต้องรู้ความรู้เดิมของนักเรียน background  Knowledge
“ no one size fits all “ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เหมาะสมพอดีสำหรับทุกคน แต่ละคนมีจุดของความเหมาะสมและความแตกต่างกัน
CEFR (common European framework of reference for  language)
เป็นการกำหนดมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 6 ระดับคือ C1,C2,B2,B1,A2และA1
เราต้องรู้จักตนเอง (self awareness)
Input -> process -> output -> outcome-> product เราต้องคำนึงถึงoutcome เพราะเป็นสิ่งที่จะบอกเราได้ว่าสิ่งที่ทำนั้นบรรจุเป้าหมายหรือไม่
การแปลที่ดีต้อง สั้น กระชับ รัดกุม ได้ความหมาย


Learning log (29th October, 2015 – 30th October, 2015 )





Learning Log
29 October – 30 October 2015
สิ่งที่เรียนรู้จากการอบรม “เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษแบบบูรณาการทักษะ”

                ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษ 21 เป็นเรื่องสำคัญของกระแสปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจะต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สำคัญที่สุดคือทักษะการเรียนรู้ (Learning skill) ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เกิดในศตวรรษที่ 21 นี้มีความรู้ความสามารถและทักษะจำเป็น ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตลอดจนการเรียนความพร้อมด้านต่างๆ
                ครูเป็นบุคคลหลักของการปฏิรูปการเรียนรู้ ดังนั้นครูจะต้องเป็นผู้มีทักษะที่เรียกว่า “ทักษะของครูมืออาชีพ” เป็นทักษะที่เน้นการสร้างหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้เด็กๆเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยทำงานเป็นกลุ่มเน้นภาวะผู้นำและผู้ตาม ตลอดจนสอนให้เด็กๆสร้างนวัตกรรมด้วยการทำโครงงานหรือทำวิจัยพื้นฐาน และครูก็ทำวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ด้วย ทักษะเพื่อการเป็นครูมืออาชีพตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ ทักษะ5c เป็นทักษะที่สำคัญที่ได้จากการวิเคราะห์สิ่งที่ครูต้องปฏิบัติและพึงมีตามพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.2542 ในหมวด 4 แนวการจัดการศึกษาทักษะ 5c เป็นทักษะที่ครูควรได้รับการพัฒนาเพื่อการเป็นครูมืออาชีพ ซึ่งได้แก่ทักษะดังต่อไปนี้ ทักษะ c1 : curriculum development skills, ทักษะ c2 : Child – centered approach skills, ทักษะ c3 : Classroom innovation implementation, ทักษะ c4 : classroom authentic assessment และทักษะ c5 : classroom action research ซึ่งทักษะ 5c นี้จะนำมาซึ่งความสำเร็จของการปฏิรูปห้องเรียนและโรงเรียน
                ในศตวรรษที่ 21 การจัดการกระบวนการเรียนรู้ จึงพยายามเปลี่ยนบทบาทครูจากผู้บรรยายมาเป็นครูร่วมกันออกแบบกิจกรรมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ (Pedegogy) ให้นักเรียนใช้เป็นเครื่องมือไปเรียนรู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกและเสนอแนะเครื่องมือการเข้าถึงองค์ความรู้ผ่านวิธีการต่างๆโดยเฉพาะผ่าน Technology ให้เข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง นำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในห้องเรียกกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ว่า Active Learning ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student – centered) และ ปรับเปลี่ยนการเรียนเปลี่ยนวิธีการสอนจาก Passive Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้โดยการอ่านฟังบรรยาย โดยยึดเนื้อหา (content Based) จากหนังสือและตำราซึ่งเป็นรูปแบบที่ครูในประเทศไทยคุ้นเคยและใช้กันมาก ครูจะพยายามบรรยายและบอกทุกสิ่งทุกอย่างในตำราหรือหนังสือให้นักเรียนจดบันทึกแล้วนำไปใช้สอบวัดเก็บเป็นคะแนนความรู้

การศึกษานอกห้องเรียน : ( 20th October, 2015)





การศึกษานอกห้องเรียน
( 20th  October, 2015)
การฟัง

ทักษะการฟังเป็นทักษะสำคัญที่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้ไม่น้อยไปกว่าทักษะการสื่อสารด้านอื่นๆ เช่นทักษะการพูด การอ่าน และการเขียน ฯลฯ ทักษะการฟังที่ดีนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต เนื่องจากเป็นพื้นฐานที่สำคัญของทักษะการเข้าสังคม เพราะจะสามารถลดความเข้าใจผิด ความขัดแย้งในการปฏิสัมพันธ์กับคน นอกจากนี้การพัฒนาทักษะการฟังส่งผลต่อการพัฒนาในด้านสติปัญญา ในแง่ของการใช้ความคิดในการจับประเด็น ฝึกความจำ และฝึกฝนการจดจ่อแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่ผ่านมาพบว่า คนในสังคมไทยจำนวนมากมองว่าทักษะการฟังเป็นเรื่องที่สามารถพัฒนาขึ้นได้เองตามธรรมชาติจึงไม่ต้องดิ้นรนไปฝึกฝนเท่ากับการสื่อสารด้านอื่นๆ จึงมักจะละเลยการฝึกฝนทักษะด้านการฟังนี้ให้กับเด็กไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับทักษะในด้านการพูด การอ่าน การเขียน ที่ครูให้น้ำหนักความสำคัญในการฝึกฝนผู้เรียน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทักษะการฟังเป็นทักษะที่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนเช่นเดียวกับทักษะอื่นๆ การฟังเป็นทักษะทางภาษาที่ต้องใช้มากว่าทักษะอื่นๆในแต่ละวันเป็นทักษะที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะคนเราเริ่มใช้ภาษาโดยการฟังก่อน การฟังจึงเป็นพื้นฐานที่ก่อให้เกิดการพูด อ่าน เขียน ตามมา เป็นบ่อเกิดสำคัญของความรู้ การที่จะพัฒนาทักษะการฟังได้ ควรจะฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาทักษะดังกล่าวให้เป็นอุปนิสัยประจำตัว ดังนั้นดิฉันจึงคิดที่จะพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษโดยการฝึกฟังเพลง ดูภาพยนตร์ต่างประเทศ และดูข่าวต่างประเทศในระหว่างวันที่ 20 – 26 ตุลาคม 2558
วันที่ 21 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟัง โดยการฝึกฟังเพลงภาษาอังกฤษจาก http://www.youtube.com/watch?v=fwk7ggA3-bU  โดยดิฉันฟังเพลง One More Night ของ Maroon 5 โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน ฟังแล้วเพลิดเพลิน โดยในการฟังครั้งแรก ดิฉันจะฟังเพลงที่เป็นวิดีโอโดยมีเนื้อหาเพลงประกอบอยู่ด้านล่าง โดยดิฉันฟังอยู่ 5 รอบ และตอนสุดท้ายดิฉันจะฟังพร้อมออกเสียงตามไปพร้อมๆกับเพลง 5 รอบ เพื่อเป็นการทบทวนว่าดิฉันจำเนื้อเพลงได้มากแค่ไหน โดยจากการที่ดิฉันได้ฟังเพลงนั้นดิฉันสามารถจำเนื้อเพลงได้บางส่วนแต่ไม่หมด โดยดิฉันสามารถแปลได้คร่าวๆว่าเนื้อเพลงของเพลง One More Night ของ Maroon 5 มีเนื้อเกี่ยวกับคู่รักที่ระหองระแหงกัน จนถึงจุดที่คิดว่าไปต่อกันไม่ได้แล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่ง(ฝ่ายชาย) กลับตัดใจไม่ได้ ตัดใจไม่ขาดในการที่จะปล่อยให้ฝ่ายหญิงที่จะเดินจากไป เขาอยากอ้อนวอนให้เธออย่าเพิ่งไป อยู่กับเขาต่อได้ไหม แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปขออยู่ด้วยอีกคืนได้ไหม แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเดินจากไป จากการที่ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการฝึกฟังเพลงภาษาอังกฤษทำให้ดิฉันมีทักษะในการฟังที่ดีขึ้น

Learning log (20th October , 2015)





Learning Log 
(20th October , 2015)

ในภาษาอังกฤษ clause เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะในชีวิตประจำวันของเรานั้นมักจะใช้ clause อยู่บ่อยๆ ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะไม่รู้ว่าเรากำลังใช้ clause อยู่ ซึ่ง clause หรืออนุประโยคต่างๆ หมายถึงกลุ่มคำที่ประกอบด้วยประธานและกริยา ซึ่ง clause จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Independent clause ซึ่งก็คือ ประโยคอิสระมีความหมายและมีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง และ Dependent clause คืออนุประโยคที่ไม่อิสระไม่มีความหมายในตัวมันเอง ซึ่ง Independent clause จะประกอบขึ้นด้วยประธานและกริยาอย่างละตัว  รวมทั้งยังต้องสื่อความคิดที่สมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นประโยคได้ ในการใช้ clause ในแต่ละครั้งควรจะต้องคำนึงถึงว่า clause เป็นกลุ่มคำที่มีประธานและกริยาแต่มีใจความที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง แต่ไม่สามารถอยู่โดยลำพังได้ ต้องอาศัยใจความจากประโยคหลักมาช่วย หรืออีกนัยหนึ่ง clause ก็คือประโยคที่ซ่อนอยู่ประโยคนั่นเอง clause อาจใช้เสมือนเป็น noun, adjective หรือ adverb ก็ได้ ซึ่งในชีวิตประจำวันนั้นเราก็ต่างพบและใช้ clause อยู่เป็นประจำ

การศึกษานอกชั้นเรียน : (13th October,2015)





การศึกษานอกชั้นเรียน
 13th October,2015
การฟัง

การฟังมีความสำคัญมากต่อการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ดังจะเห็นว่ามนุษย์ใช้เวลาไปกับการฟังมากที่สุดหากเปรียบเทียบกับการพูด การอ่านและการเขียน จอห์น ดับบลิว เคล์ทเนอร์ พบว่า ผู้ที่สื่อสารนั้น มีอัตราส่วนของการใช้ทักษะทางภาษา คือ ใช้เวลาในการฟัง 42% การพูด 32% การอ่าน 15% และการเขียน 11% ซึ่งทำให้เห็นว่า การฟังมีความสำคัญในการกำหนดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของการสื่อสารอย่างมาก   การฟังทำให้ได้รับความรู้ เพราะการฟังเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ เช่น การฟังบรรยายของอาจารย์ในชั้นเรียน   การฟังทำให้รู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ทำให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของคนและสังคม   การฟังช่วยพัฒนาทักษะการพูดให้มีประสิทธิภาพได้ กล่าวคือ การฟังช่วยให้ผู้ฟังได้เรียนรู้วิธีการพูด เนื้อหาสาระของสาร วิธีการนำเสนอสาร ซึ่งสามารถนามาปรับใช้กับวิธีการพูดของตน ทำให้เกิดความมั่นใจขณะพูด ซึ่งทำให้การพูดของผู้ฟังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   การฟังเป็นทักษะการรับสารที่สำคัญและใช้กันมาก ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ และถือเป็นทักษะแรกที่ต้องมีการสอน เพราะผู้พูดต้องฟังให้เข้าใจก่อน จึงจะมีความสามารถในการพูด  การฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด และพัฒนายากที่สุด  ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญของคนไทยส่วนใหญ่ รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดของการเรียนภาษาอังกฤษ ของคนไทย ดิฉันก็มีปัญหาเรื่องทักษะการฟังเช่นกัน ดังนั้นดิฉันจึงคิดที่จะพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยจะฝึกตั้งแต่วันที่  13 – 19 ตุลาคม 2558

การศึกษานอกชั้นเรียน : ( 6th October,2015 )





การศึกษานอกชั้นเรียน : (6th October,2015)
6 October 2015
การเขียน

การเขียนเป็นระบบการสื่อสาร หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพื่อแสดงออกเพื่อความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดยใช้ตัวหนังสือและเครื่องหมายต่างๆเป็นสื่อ ดังนั้นการเขียนจึงเป็นทักษะการใช้ภาษาแทนคำพูดที่สามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด การเขียนที่เป็นเรื่องราวเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนนั้น จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด ทักษะการใช้ภาษาเขียน ต้องอาศัยพื้นฐานความรู้จากการฟัง การพูด และการอ่าน เพราะจากพื้นฐานดังกล่าว จะทำให้มีความรู้ มีข้อมูล และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมาสื่อ สารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นดิฉันจึงคิดที่จะพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยการฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการเพิ่มพูน ทักษะการเขียนให้แก่ตัวดิฉัน ในระหว่างวันที่  6 12 ตุลาคม 2558
                วันที่ 6 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการเขียนโดยการเขียนประโยค If Clauses หรือ Conditional Sentences ประเภทที่ 1 ใช้สำหรับพูดถึงความจริงทั่วไป โดยใช้ present simple ในอนุประโยคทั้งสองประโยค If + present simple, …. present simple. (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject + V1, subject + V1) โดยดิฉันได้ฝึกเขียนประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่น If I have enough money, I will go to Japan.    I won’t go outside if the weather is hot.    If I have time, I will help you.  If you eat too much, you will get fat      If water is heated , it boils.   If students don’t study , they usually fail.   I sing if I am happy.   If you throw a stone into water, it sinks.  I cannot understand you if you speak Chinese.   Plants grow quickly if you water them.  If you touch a fire, you get burned. •              People die if they don’t eat.  •       You get water if you mix hydrogen and oxygen. •  If babies are hungry, they cry. If water reaches100 degrees, it boils. จากการที่ได้ฝึกทักษะการเขียนประโยคเกี่ยวกับ If Clauses หรือ Conditional Sentences ประเภทที่ 1นี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้เกี่ยวกับการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต ที่แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible condition) มากยิ่งขึ้นซึ่งก็ทำให้อันสามารถแต่งประโยคได้หลากหลายยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Seventh : Learning log (6th October,2015)





Learning  log  (6th  October,2015)

Noun Clause

ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ต่างก็มีการฟัง, พูด, อ่าน และเขียน ซึ่งในการฟัง, พูด, อ่าน และเขียน แต่ละครั้งนั้นก็ย่อมที่จะมี Clause นั่นก็คือประโยต (Sentence) หลายประโยครวมกันอยู่ คือถ้าอยู่ตามลำพังจะเป็น Sentence  ถ้ารวมกันอยู่จึงจะเป็น Clause ส่วน Sentence  คือ ข้อความที่พูดออกมาแล้วได้ความหมายสมบูรณ์  ฟังรู้เรื่องซึ่งส่วนมากจะมีประธาน (Subject) และกริยา(Verb)มาด้วยกันเสมอ  หรืออาจจะเป็นคำคำเดียวก็ได้ ถ้าฟังกันรู้เรื่อง โดยเฉพาะประโยคคำสั่งที่มักจะเป็นคำกริยาคำเดียว ซึ่ง Sentence จะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ Simple Sentence, Compound Sentence, Complex Sentence และ Compound Complex Sentence ซึ่ง Complex Sentence นั้นจะประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค โดย 2 ประโยคนี้มีความสำคัญไม่เท่ากัน นั่นคือประโยคหลัก Main Clause (มุขยประโยค) ที่มีใจความสมบูรณ์ และประโยครอง Subordinate Clause(อนุประโยค) ที่ต้องอาศัยประโยค Main Clause จึงจะได้ใจความสมบูรณ์ ซึ่ง clause ที่ดิฉันได้จะศึกษาในครั้งนี้ คือ  Noun Clause ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Subordinate Clause ซึ่ง Noun Clause นี้สามารถพบเจอบ่อยในชีวิตประจำวัน
1) Noun clause แปลว่า “นามานุประโยค” หมายความว่า ประโยคทั้งประโยคนั้นถูกนำมาใช้เสมือนกับเป็นคำนามคำหนึ่ง วิธีที่จะสังเกตว่า clause ใดเป็น Noun clause นั้นให้สังเกตดังนี้ คือ
                1. Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคของมันด้วย that ซึ่งแปลว่า “จะ” และ หรือ
                2. Noun Clause มักจะขึ้นต้นประโยคด้วยถ้อยคำที่แสดงคำถามคือ how, what, which, where, when, why, who, whose, whom เช่น
                I don’t know how he didn’t.
                ผมไม่รู้ว่าเขาทำมันได้อย่างไร
                He said that he know you.
                เขาพูดว่าเขารู้จักคุณ
                What do you want is in the bag.
                สิ่งที่คุณต้องการอยู่ในถุงนี้แล้ว

การเรียนรู้นอกห้องเรียน : (29st September,2015)





การเรียนรู้นอกห้องเรียน : (29st  September,2015)

การฝึกทักษะการพูด

            ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญต่อการเรียนภาษาต่างประเทศ เพราะการอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจในเรื่องที่อ่านตรงกับสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อความหมาย ผู้ที่มีทักษะการอ่านที่ดีจะสามารถนำความรู้ ความคิด หรือสาระจากเรื่องราวที่อ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ การอ่านมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพราะการอ่านเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาบุคคลช่วยให้เกิดความงอกงามทางสติปัญญาและมีส่วนผลักดันให้สังคมเจริญก้าวหน้าไปได้เร็วขึ้น การอ่านทำให้คนฉลาด รู้จักคิดและมีโลกทัศน์ที่กว้าง  ยิ่งในปัจจุบัน ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความก้าวไกลเป็นยุคที่ข่าวสารไร้พรมแดน มีความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายที่จะช่วยให้การดำรงชีวิตของมนุษย์มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทักษะการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญมากและเป็นกิจกรรมที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะการอ่านจะได้ดีหรือไม่ ช้าหรือเร็วก็ย่อมมีผลมาจากการปฏิบัติ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นดิฉันจึงจะพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยการฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษจากอินเทอร์เน็ต นิตยสาร ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - ตุลาคม 2558เพื่อให้มีทักษะการอ่านที่ดีขึ้น
                วันที่ 29 กันยายน 2558 ดิฉันได้พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยการฝึกอ่านภาษาอังกฤษ จากข่าวสารในอินเทอร์เน็ต จาก http://www1.voanews.com/…/…/Indonesian-E-Waste-85035327.html โดยข่าวที่ดิฉันอ่านจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประเทศต่างๆได้ผลิตสินค้าประเภทเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเป็นเงาตามตัว โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาตินำรายงานฉบับหนึ่งออกเผยแพร่ซึ่งเตือนถึง อันตราย อันเกิดจากการที่ปริมาณของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้นตามประเทศที่ กำลังพัฒนา ที่มักจะเกิดจากมีคนนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาโยนทิ้งไว้ อันก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของชาวบ้านเป็นอย่างมาก  จากการอ่านข่าวครั้งนี้มีคำศัพท์ที่ฉันไม่ทราบความหมายได้แก่คำว่า released ปลดปล่อย, dumped คลังเก็บอาวุธ, hazard ความอันตราย จากการฝึกทักษะการอ่านครั้งนี้ทำให้ดิฉันมีทักษะในการอ่านมากยิ่งขึ้น และทำให้ดิฉันมีความรู้เรื่องข่าวสารและคำศัพท์ใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น

การศึกษานอกห้องเรียน : ( 22nd September, 2558)





การศึกษานอกห้องเรียน : ( 22nd  September, 2558)

การฝึกทักษะการฟัง

ปัจจุบันภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลก การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการติดต่อสื่อสารเพื่อการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อประกอบอาชีพ และสามารถนำไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศและประชากรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันและอนาคต การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้ได้ผลนั้นผู้เรียนจำเป็นต้องมีการฝึกพูด เพื่อให้การสื่อสารภาษาอังกฤษสัมฤทธิ์ผล เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจและมีความต้องการพัฒนาทักษะการพูดของตนเองตามสถานการณ์หรือตัวกำหนดที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเหมาะสม ทักษะการพูดนับว่าเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็นมาก ขอเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน แม่จำเป็นที่สุดในการเรียนภาษาต่างประเทศ หน้าจากการพูดเป็นการถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ ความรู้สึก ให้ผู้ฟังได้รับรู้และเข้าใจจุดหมายของผู้พูดเพื่อการสื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ดังนั้นดิฉันจึงจะพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยการฝึกพูดภาษาอังกฤษตั้งแต่วันที่ 22 - 28 กันยายน 2558
วันที่ 22 กันยายน 2558 ที่ฉันได้พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยการฝึกการออกเสียงหนักเบาในพยางค์ (stress) เพราะการออกเสียงเน้นหนักเบาเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับผู้พูดภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา เพราะถ้าออกเสียงหนักผิดพยางค์ ก็อาจทำให้การสื่อสารเกิดความผิดพลาดได้ โดยฉันฝึกการออกเสียงจาก wangtongnoon.blospot.com โดยที่ฉันได้ฝึกออกเสียงหนักเบาในคำ(word stress)  ในคำที่มีฉันยังออกเสียงผิดตำแหน่งเช่นคำว่า affirmative, philosopher, development, significant, drugstore, run out of, suspicious, accomplish, associate, appreciate, abandonment และ tedious  จากการที่ดิฉันค่ายฝึกพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ โดยการฝึกออกเสียงหนักเบาในคำ ( word stress) นั้นทำให้ดิฉันมีทักษะในการพูดที่ดีมากยิ่งขึ้น เพราะปัญหาเรื่องการออกเสียงหนักเบาผิดที่นั้นเป็นปัญหาสำหรับดิฉันมาก บางครั้งดิฉันพูดไปแล้วคนที่ฟังนั้นงงไม่เข้าใจสิ่งที่ดิฉันพูด แต่หลังจากการฝึกการออกเสียงหนักเบาในคำแล้ว ก็ทำให้ดิฉันมีความมั่นใจในการพูดมากขึ้น

Sixth : Learning log ( 22 nd September , 2015 )





Learning  log (22 ndSeptember , 2015)

If clauses หรือ Conditional Sentences

If clause  หรือ Conditional sentences  คือประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (condition) การสมมุติ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกันและเชื่อม conjunction "if" แสดงเงื่อนไข ประโยคที่นำหน้าด้วย if  แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if clause   ถือว่าเป็น dependent clause เป็นข้อความที่ไม่สมบูรณ์พอที่จะจบประโยคได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออยู่ตามลำพังไม่ได้   ต้องมีอีกส่วนหนึ่งรองรับ ส่วนประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น เรียกว่า main clause  ซึ่งถือว่าเป็น independent clause เป็นข้อความที่สมบูรณ์สามารถอยู่ได้โดยอิสระไม่ต้องมีข้อความอื่นมาเกาะเกี่ยวเหมือนกับ if clause ซึ่ง Conditional sentences หรือ If clause   สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดที่ 1 เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ ชนิดที่ 2 เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และชนิดที่ 3 เป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต ซึ่ง Conditional sentences จะขึ้นประโยคด้วย If clause   หรือ Main clause  ก็ได้
ประโยค IF-CLAUSES ชนิดที่ 1 : IF-CLAUSE — TYPE ONE
If + Present Simple , + Present Simple
ประโยค IF-CLAUSES ชนิดที่ 1ใช้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (natural laws) ทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการกระทำที่เป็นนิสัยของแต่ละบุคคล (habitual actions) เช่น
If water is heated , it boils.
If ice is heated , it melts.
If a metal is heated , it expands.
If it is fine , Jim usually walks to school.
If you hurt dogs , they bite you..
If students don’t study , they usually(sometimes, often, generally) fail.

การเรียนรู้นอกห้องเรียน (15th September, 2015)





การเรียนรู้นอกห้องเรียน  (15th  September, 2015)

การฝึกทักษะการเขียน

ประเทศไทยได้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศมายาวนาน รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาของการพัฒนาความสามารถทางภาษาของคนไทย จึงพยายามที่จะปรับปรุงให้มีการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถทางภาษาในระดับที่สามารถติดต่อสื่อสารได้ แต่ผลการเรียนภาษาอังกฤษของผู้เรียนในระดับต่าง ๆ ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทักษะฟัง - พูด การสื่อสารในชีวิตประจำวันนั้นถือว่า การฟังเป็นทักษะการรับสารที่สำคัญและใช้กันมาก ซึ่งทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ และถือเป็นทักษะแรกที่ต้องมีการสอน เพราะผู้พูดต้องฟังให้เข้าใจก่อน จึงจะมีความสามารถในการพูด       ทักษะทางภาษาของผู้เรียนภาษาที่สอง คือ อันดับแรกทักษะการฟัง อันดับที่สองทักษะการพูด หลังจากนั้นก็เป็นทักษะการอ่านและการเขียน  การฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด และพัฒนายากที่สุด  ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญของคนไทยส่วนใหญ่ รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดของการเรียนภาษาอังกฤษ ของคนไทย ดิฉันก็มีปัญหาเรื่องทักษะการฟังเช่นกัน ดังนั้นดิฉันจึงคิดที่จะพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยจะฝึกตั้งแต่วันที่ 15 – 21 กันยายน 2558
                วันที่ 15 กันยายน 2558 ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการฝึกฟังเพลงภาษาอังกฤษจากhttps://www.youtube.com/watch?v=L0MK7qz13bU โดยดิฉันเลือกฟังเพลง Let It Go ของ Demi Lovatoโดยเพลงนี้เป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน ฟังแล้วเพลิดเพลิน โดยในการฟังครั้งแรกดิฉันจะฟังเพลงจากเพลงที่เป็นวิดีโอโดยมีเนื้อเพลงประกอบอยู่ด้านล่าง  โดยดิฉันจะฝึกฟังอยู่ 3 รอบ หลังจากนั้นดิฉันจะฟังพร้อมออกเสียงตามไปพร้อมกับเพลง 3 รอบ และสุดท้ายดิฉันจะฟังเพลงเป็นแบบ MP3 โดยไม่มีเนื้อเพลงประกอบอยู่ 3 รอบเพื่อเป็นการทบทวนว่าดิฉันจำเนื้อเพลงได้มากแค่ไหน โดยดิฉันนั้นก็สามารถจำเนื้อเพลงได้บางส่วนแต่ก็ไม่หมด จากการที่ดิฉันได้ฟังเพลง Let It Go ดิฉันสามารถแปลได้คร่าวๆว่า เนื้อหาในเพลง Let It Go นี้ เป็นเพลงเกี่ยวกับ ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการลืมสิ่งๆหนึ่งไป โดยปล่อยทิ้งไป ไม่ต้องทนหิมะมากมายส่องประกายสีขาวบนภูเขาในยามกลางคืน ไม่มีรอยเท้าแม้แต่รอยเดียวปรากฏให้เห็น ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นราชินีในอาณาจักรอันโดดเดี่ยวนี้ กระแสลมกรรโชกแรงดั่งพายุโหมกระหน่ำอยู่ภายใน เธอทนรับมันไว้ไม่ไหวอีกแล้ว แม้แต่สวรรค์ยังเห็นว่าเธอได้พยายามแล้วนะ  จากการที่ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการฝึกฟังเพลงภาษาอังกฤษทำให้ดิฉันได้มีทักษะในการฟังที่ดียิ่งขึ้น
                วันที่ 17 กันยายน 2558 ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการฝึกฟังข่าวจาก
http://www.bbc.com/news/health-34283885 เรื่อง Malaria death rates see 60% fall since 2000
ของวันที่ 17 กันยายน 2558  โดยในการฝึกฟังครั้งแรกดิฉันจะฝึกโดยไม่มี Script โดยดิฉันฝึกฟังอยู่ 5รอบ ต่อมาดิฉันก็ได้ฝึกฟังโดยมี Script 5 รอบ โดยดิฉันนั้นสามารถแปลและจับใจความสำคัญของข่าวได้ว่าข่าวนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ อัตราการตายของคนที่เป็นโรคมาลาเรียซึ่งเห็นได้ว่าลดลงถึง60% นับตั้งแต่ปี 2000เป็นต้นมา โดยเนื้อเรื่องในข่าวจะเป็นรายงานโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และการกุศลยูนิเซฟได้กล่าวว่าอัตราการตายของคนที่เป็นโรคมาลาเรียได้ลดลงถึง60% ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2000 ในการฟังครั้งแรกดิฉันฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องว่าเนื้อหาในข่าวนี้เกี่ยวกับอะไร เพราะคำศัพท์บางคำเป็นคำที่ดิฉันไม่ทราบความหมาย ซึ่งเป็นความยากลำบากในการฟังสำหรับดิฉัน เพราะดิฉันมีคลังคำศัพท์ไม่มาพอก จากการที่ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยการฝึกฟังภาษาอังกฤษทำให้ดิฉันได้มีทักษะในการฟังที่ดียิ่งขึ้นและก็ทำให้ดิฉันรู้ว่าดิฉันนั้นยังต้องปรับปรุงทักษะการฟังให้ดีขึ้นกว่านี้

Fifth : Learning log (15th September, 2015)





Learning   log

(15th  September, 2015)

การพัฒนาประเทศต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาคน การพัฒนาคนเริ่มต้นที่การให้ การศึกษา เพราะเชื่อว่าการศึกษาช่วยสร้างความรู้ความคิด ทักษะเจตคติให้คนไทยรู้จักตนเองรู้จักชีวิต เข้าใจสังคมและสิ่งแวดล้อม นำความรู้ความเข้าใจมาใช้ในการแก้ปัญหา รวมทั้งสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวล้ำไปมากดังนั้นจึงจะต้องดำเนินพัฒนาการศึกษาให้ก้าวทันโลกแต่ปัจจุบันนี้เมื่อหันมามองการจัดการศึกษาไทย การศึกษาไทยกำลังมีปัญหา ซึ่งมีการทำการวิจัยออกมาหลายๆครั้งที่สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการจัดการศึกษา  การศึกษาที่มีคุณภาพสามารถเปลี่ยนแปลงคนไปในทางที่ดีกว่าเพราะการศึกษาคือความเจริญงอกงาม (Education is Growth) และทำหน้าที่พัฒนาคุณภาพชีวิตคน การศึกษาสามารถจัดคนเข้าสู่อาชีพตามความถนัดและความสนใจได้ การศึกษาสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ทันต่อเหตุการณ์ และแก้ปัญหาสังคม ประเทศและโลกได้ สิ่งที่สำคัญที่จะสามารถทำให้การจัดการศึกษามีคุณภาพคือ การบูรณาการทางการศึกษา  คุณภาพของครูไทยในยุคอาเซียน และ
                การบูรณาการทางการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการจัดการศึกษา ต้องมีการส่งเสริมการผลิตสื่อ และการคัดกรองหนังสือเรียนที่จะใช้ในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการเปิดโรงเรียนนานาชาติมากขึ้น ส่งเสริมโรงเรียน English Program (โรงเรียน EP) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอน และพัฒนาห้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ (Enrichment Class) เพื่อให้ผู้เรียนที่มีศักยภาพทางภาษาอังกฤษสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทางสังคม (Social Interaction) และด้านวิชาการ (Academic Literacy)  และพัฒนาห้องเรียนสนทนาภาษาอังกฤษ (Conversation Class) ที่เน้นทักษะการฟังและการพูด การจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการระหว่างการสอนแบบนิรนัยและแบบอุปนัยที่จะทำให้การเรียนการสอนในห้องเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
                การเรียนการสอนที่ดีจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เป็นศูนย์กลางของการจัดการเรียนรู้ การบูรณาการเรียนการสอนระหว่างวิธีสอนแบบนิรนัย (Deductive Method)และวิธีสอนแบบอุปนัย ( Inductive Method ) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย(Deductive  Method) กระบวนการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ  ทฤษฎี  หลักเกณฑ์  ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน  จากนั้นจึงให้ตัวอย่างหลายๆตัวอย่าง  หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกการนำทฤษฎี  หลักการ  หลักเกณฑ์  กฎหรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย   หรืออาจเป็นลักษณะให้ผู้เรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยันทฤษฎี  กฎหรือข้อสรุปเหล่านั้น  การจัดการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเป็นคนที่มีเหตุผล  ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ  และมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์  ทฤษฎี  ข้อสรุปเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง การสอนแบบนี้  เป็นการสอนจากทฤษฎีหรือกฎไปสูตัวอย่างที่เป็นรายละเอียด ส่วนวิธีสอนแบบอุปนัย ( Inductive Method )ก็เป็นวิธีการสอนที่จำเป็นต่อการเรียนรู้