Learning Log 2
11st August , 2015
ในสังคมโลกปัจจุบันคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ภาษาอังกฤษ”
เป็นภาษาสากลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และเข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตจำนวนไม่น้อย
จากอิทธิพลของความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่งผลให้ภาษาอังกฤษยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
เพราะถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร จะเห็นได้ว่าในประเทศไทย
แม้รัฐบาลบังคับให้ทุกคนเรียนภาษาอังกฤษในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แต่ก็ยังมีคนไทยจำนวนมากที่พูดภาษาอังกฤษหรือไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ทั้งๆที่รวมเวลาเรียนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า
10 ปี
หรือแม้แต่ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือกระทั่งปริญญาโทยังมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้
การสอนภาษาอังกฤษแต่ละชั่วโมงจำเป็นต้องให้นักเรียนได้ฝึกครบทุกทักษะ ทั้งการฟัง
พูด อ่าน และเขียน อีกทั้งผู้เรียนต้องเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะของการเรียนรู้
การพัฒนาตนเอง และการประเมินตนเองเพิ่มเติม
เพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษเรียนภาษาอังกฤษอย่างสัมฤทธิผล
ลักษณะการเรียนรู้แบ่งได้เป็น
3 ด้าน ดังนี้ คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และด้านทักษะพิสัย
(Psychomotor Domain) ในทางปฏิบัติที่แท้จริง
การเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ไม่ได้แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง
แต่การเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านมีการทำงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและสัมพันธ์กัน
เช่น การวิเคราะห์ในด้านด้านพุทธิพิสัยอาจจะเกิดก่อนการประยุกต์ใช้
หรืออาจจะเกิดการจัดระบบตามมาในด้านจิตพิสัยก็ได้
ในทางการศึกษามีความมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถบรรลุถึงลำดับขั้นตอนสุดท้ายของด้านพุทธิพิสัย
ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย นั่นหมายถึงความสำเร็จในการผลิตนักเรียน
นักศึกษาออกมาให้เป็นคนเก่งทั้งในด้าน IQ และด้าน EQ โดยลักษณะการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain)
ด้านพุทธิพิสัย
(Cognitive Domain) เป็นความสามารถทางสมอง
หรือความรอบรู้ในเนื้อหาวิชาหลักการหรือทฤษฎีพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านนี้สามารถวัดได้จากการให้ผู้เรียนแจกแจงความรู้
เขียนรายการสิ่งที่รู้ยกตัวอย่าง ประยุกต์กฎต่างๆ ที่เรียนไป
หรือวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นต้น พฤติกรรมตามระดับการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยแบ่งไว้
6 ขั้น ซึ่งการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป ต้องอาศัยระดับการเรียนรู้ที่ต่ำกว่าเสมอ
ระดับพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยซึ่งแบ่งออกได้เป็น 6 ด้าน ได้แก่ ความรู้ ความจำ ความสามารถในการจดจาสิ่งที่เรียนมาแล้ว
อาจเป็นข้อมูลง่ายๆ จนถึงทฤษฎี ความเข้าใจ
ความสามารถในการจับใจความการแปลความหมาย การสรุป หรือขยายความ การนำไปใช้
ความสามารถในการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ การวิเคราะห์
ความสามารถในการแยกสิ่งต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยเหล่านั้นได้ การสังเคราะห์
ความสามารถในการรวบรวมส่วนย่อยๆ เพื่อสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างใหม่ และการประเมิน
ความสามารถในการวินิจฉัยคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ โดยมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน ด้านจิตพิสัยเป็นลักษณะการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องจากด้านพุทธิพิสัย
ด้านจิตพิสัย
(AFFECTIVE DOMAIN) เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เน้นหนักในด้านความสนใจ
เจตคติ ค่านิยม อารมณ์และความประทับใจ ซึ่งวัดได้โดยการสังเกต
แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง
การระบุพฤติกรรมที่คาดหวังให้ผู้เรียนแสดงออกนั้น
ต้องอาศัยการรวบรวมพฤติกรรมที่ชี้ถึงความรู้สึก เจตคติและค่านิยมของตนเองและผู้อื่น
แล้วนำมาใช้ในการกำหนดเป็นพฤติกรรมที่คาดหวัง
พฤติกรรมตามระดับการเรียนรู้ด้านจิตพิสัยแบ่งไว้ 5 ขั้น ได้แก่ การรับรู้ : การสนใจ ตั้งใจ
ยอมรับความคิด กระบวนการ หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ การตอบสนอง : ความเต็มใจที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ การเห็นคุณค่า
ความรู้สึกนิยมพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกิดการปฏิบัติตามสิ่งที่นิยม การจัดระบบค่านิยม
: การนำเอาคุณค่าต่างๆ
ที่เกิดจากการเรียนรู้มาผสมผสานและจัดระบบเข้าด้วยกันเพื่อเสริมสร้างระบบคุณค่าขึ้นภายในตนเอง
และ การกำหนดคุณลักษณะ : การนำค่านิยมที่จัดระบบแล้วมาปฏิบัติจนเป็นนิสัยเฉพาะตน
ด้านสุดท้ายของลักษณะการเรียนรู้คือด้านทักษะพิสัย
ด้านทักษะพิสัย
(PSYCHOMOTOR DOMAIN) จุดประสงค์การเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทางกาย
เน้นหนักด้านการวางท่าทางให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับการปฏิบัติงานแต่ละชนิด
สามารถระบุพฤติกรรมที่แสดงออกได้จากการตีความทักษะหรือการปฏิบัติออกมาเป็นพฤติกรรม
ซึ่งสังเกตได้จากความถูกต้องแม่นยำ ความว่องไว คล่องแคล่ว และสม่ำเสมอ
พฤติกรรมตามระดับการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยแบ่งไว้ 5 ขั้น คือ การเลียนแบบ : สามารถที่จะสังเกตและทำตามต้นแบบ
การลงมือปฏิบัติ : การกระทำได้ด้วยตนเองโดยลำพัง การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง : เน้นความถูกต้องในการแสดงพฤติกรรมและควบคุมและลดความผิดพลาด การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและผสมผสาน
: ปฏิบัติงานหลายๆ
ขั้นตอนได้อย่างต่อเนื่องด้วยความถูกต้อง และ การปฏิบัติโดยอัตโนมัติเป็นธรรมชาติ
: ปฏิบัติงานด้วยความคล่องแคล่วเหมือนอัตโนมัติ
แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความชำนาญ ความถูกต้องและเที่ยงตรง
Metacognition หมายถึง
ความสามารถของบุคคลที่มีต่อกระบวนการคิดของตนเอง
รู้ว่าอะไรที่เหมาะสมกับตนเองในการเรียนรู้ ตลอดจนสามารถเลือกกลวิธี ในการวางแผน
กากับควบคุม และประเมินการเรียนรู้ของตนเองได้ เพื่อให้การเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานต่างๆ
บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบของ Metacognition มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่
(1) ความรู้
(2) การควบคุมตนเอง
(3) ความตระหนักต่อกระบวนการคิด
องค์ประกอบของ Metacognition ด้านความรู้
เป็นความสามารถของผู้เรียนเกี่ยวกับการรู้กระบวนการคิดของตนเองในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน
ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้ใน 3 ด้าน ดังนี้
1) ความรู้ด้านเนื้อหาสาระ
เป็นความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบพื้นฐาน
ที่ผู้เรียนจาเป็นต้องรู้ในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน ทั้งในเรื่องความรู้เกี่ยวกับลักษณะของงาน
ที่ทำ และความรู้เกี่ยวกับความสามารถของตนเอง ดังนี้
1.1) ความรู้เกี่ยวกับลักษณะของงานที่ทำ
เป็นการรู้ว่างานนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใดในด้านข้อเท็จจริง คำศัพท์และนิยาม เช่น
ถ้าผู้เรียนต้องการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
จะต้องรู้ว่าโจทย์ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาคณิตศาสตร์เรื่องใด
1.2)
ความรู้เกี่ยวกับความสามารถของตนเอง
เป็นความสามารถในการวิเคราะห์ตนเองว่ามีความรู้ความสามารถในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานมากน้อยเพียงใด
เช่น ผู้เรียนรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของตนเอง รู้ว่าตนเองรู้อะไร
และมีความรู้ในระดับใด เพื่อที่จะได้หาวิธีการที่เหมาะสมในการเรียนรู้ของตนเอง
2) ความรู้ในวิธีการ
เป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีการหรือกระบวนการต่างๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน
เช่น ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์
ผู้เรียนต้องรู้ว่ามีวิธีการหรือกระบวนการแก้ปัญหาแบบใดบ้าง เพื่อให้สามารถหาคำตอบของโจทย์ปัญหานี้ได้
3)
ความรู้ที่ใช้เพื่อตัดสินใจเลือกวิธีการ
เป็นความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ลักษณะของวิธีการที่ใช้ในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน
เพื่อตัดสินใจเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมและ มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น
ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ว่าวิธีการหรือกระบวนการแก้ปัญหาที่มีอยู่
วิธีการใดเป็นวิธีที่ใช้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ง่ายต่อการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ
และเหมาะสมที่สุดกับ โจทย์ปัญหา
องค์ประกอบของ Metacognition ด้านการควบคุมตนเอง
เป็นความสามารถของผู้เรียนในการควบคุมตนเอง ให้เรียนรู้หรือปฏิบัติงานได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ซึ่งประกอบด้วยการควบคุมตนเองใน 3 ด้าน ดังนี้
1) การวางแผน เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์และขั้นตอนของการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน
เพื่อเป็นแนวทางในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ในการหาคาตอบของโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ จะต้องมีขั้นตอนใดบ้าง
เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องและสอดคล้องกับเงื่อนไขที่โจทย์กำหนด
2) การกำกับควบคุม
เป็นการตรวจสอบและคิดทบทวนเกี่ยวกับ
ความเหมาะสมและความถูกต้องของวิธีการและขั้นตอนที่เลือกใช้ในการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน
เช่น ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ว่าวิธีการที่เลือกใช้เหมาะสมและสอดคล้องกับการแก้ปัญหาในเรื่องนั้นหรือไม่
3) การประเมิน
เป็นการตรวจสอบผลที่ได้จากการเรียนรู้หรือการปฏิบัติงาน ซึ่งจะทำให้ผลที่ได้มีความถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายที่วางไว้
เช่น ผู้เรียนต้องตรวจสอบว่าคาตอบที่ได้สมเหตุสมผลกับโจทย์ปัญหาหรือไม่
องค์ประกอบของ Metacognition ด้านความตระหนักต่อกระบวนการคิด
เป็นความสามารถของผู้เรียนเกี่ยวกับการรู้ปัจจัยที่จำเป็นที่ทำให้การเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ
และสามารถอธิบาย สิ่งที่ตนเองรู้ให้ผู้อื่นฟังได้
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอธิบายเหตุผลใน 3 ด้าน ดังนี้
1) การสนับสนุนความคิดหรือวิธีการที่ถูกต้องของตนเอง
ผู้เรียนสามารถอธิบายเหตุผล
เพื่อสนับสนุนความคิดหรือวิธีการที่ถูกต้องของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงถึง
ความมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นถูกต้อง
หลังจากมีการประเมินแล้วว่ากระบวนการคิดที่ใช้ใน การเรียนรู้หรือการปฏิบัติงานทำให้งานสำเร็จ
2)
การยอมรับความคิดหรือวิธีการอื่นที่ถูกต้อง
ผู้เรียนสามารถอธิบายเหตุผลในการยอมรับความคิดหรือวิธีการอื่นที่ถูกต้อง
ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดของตนเอง
3)
การยอมรับว่าความคิดหรือวิธีการของตนเองผิดพลาด
ผู้เรียนสามารถอธิบายเหตุผลในการยอมรับว่าความคิดหรือวิธีการของตนเองผิดพลาด
และพร้อมที่จะแก้ไข ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
หลังจากมีการประเมินแล้วว่ากระบวนการคิดที่ใช้ในการเรียนรู้หรือ
การปฏิบัติงานทาให้งานผิดพลาด
ก็ควรที่จะยอมรับว่าสิ่งนั้นผิดพลาดจริงๆพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขในสิ่งนั้น
การพัฒนาตน (self-development) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะสมเพื่อสนองความต้องการและเป้าหมายของตนเอง
หรือเพื่อให้สอดคล้องกับ สิ่งที่สังคมคาดหวัง บุคคลที่จะพัฒนาตนเองได้
จะต้องเป็นผู้มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงตัวเอง
โดยมีความเชื่อหรือแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาตนที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้การพัฒนาตนเองประสบความสำเร็จ
แนวคิดที่สำคัญมีดังนี้ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเอง
ทำให้สามารถฝึกหัดและพัฒนาตนได้ในเกือบทุกเรื่อง
ไม่มีบุคคลใดที่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน
จนไม่จำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องใดๆ อีก แม้บุคคลจะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองได้ดีที่สุด
แต่ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้ในบางเรื่อง
ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการพัฒนาตน การควบคุมความคิด ความรู้สึก
และการกระทำของตนเอง มีความสำคัญเท่ากับการควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอก อุปสรรคสำคัญของการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง คือ
การที่บุคคลมีความคิดติดยึด ไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิธีคิด และการกระทำ
จึงไม่ยอมสร้างนิสัยใหม่ หรือฝึกทักษะใหม่ๆที่จำเป็นต่อตนเอง
และ การปรับปรุงและพัฒนาตนเองสามารถดำเนินการได้ทุกเวลาและอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพบปัญหาหรือข้อบกพร่องเกี่ยวกับตนเอง โดยกลยุทธ์การเรียนรู้ภาษาจะเป็นตัวสำคัญในการพัฒนาตนเอง
กลยุทธ์การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศของผู้เรียนจะเป็นวิธีการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
กลยุทธ์การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศของ Oxford (1990)
โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ กลยุทธ์ทางตรง (Direct Strategies) และกลยุทธ์ทางอ้อม (Indirect
Strategies) ซึ่งกลยุทธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีการศึกษาเชิงประจักษ์ที่ให้ผลสนับสนุน
เช่น การศึกษาของWharton(2000) พบว่า
นักศึกษาสิงคโปร์ที่มีสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนสูงจะใช้กลยุทธ์การเรียนภาษามากกว่านักศึกษาที่มีสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนต่ำ
การเรียนการสอนภาษาต่าง
ประเทศที่จะมีประสิทธิภาพควรนำ หลักการทั้งสองดังกล่าว มาบูรณาการการเรียนการสอน
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนโดยมีหลักสำคัญ คือ ผู้สอนต้องสร้างความสนใจ
สร้างความเชื่อมโยงระหว่างบทเรียนกับผู้เรียน สร้างความพึงพอใจในการเรียน
สร้างความมั่นใจในตนเอง
และกระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาเพื่อสร้างความประทับใจ
ถ้าผู้เรียนมีทัศนคติเชิงบวกต่อภาษาอังกฤษแล้ว จะเป็นพื้นฐานที่นำ
ไปสู่แรงจูงใจในการเรียนและพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นด้วย
กลยุทธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมีหลักการดังนี้
กลยุทธ์ทางตรง
(Direct Strategies) หมายถึงการให้นักศึกษาใช้กระบวนการคิดโดยตรงที่เกี่ยวกับภาษาซึ่งประกอบด้วย
3 กลยุทธ์ย่อย ได้แก่
กลยุทธ์ด้านความจำ (Memory
Strategies)เป็นการเรียนภาษาที่ช่วยผู้เรียนจำข้อความหรือคำศัพท์ใหม่
ด้วยวิธีการจัดประเภท การใช้ภาพ การออกเสียงซ้ำๆการทบทวน
การใช้สัญลักษณ์หรือการวาดแผนภูมิเป็นต้น กลยุทธ์ด้านการรู้คิด
(Cognitive Strategies) เป็นการฝึกฝน การวิเคราะห์โครงสร้างของคำ และประโยควิธีการรับและส่งข้อมูล
การจับใจความสำคัญ และการสรุป
ความ ทำ ให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่กับความรู้ใหม่
เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น กลยุทธ์ด้านการทดแทน (Compensation Strategies) เป็นวิธีการเดาอย่างมีหลักการ
เช่น การเลือกใช้คำ ศัพท์ที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำ ศัพท์ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่รู้ความหมาย
กลยุทธ์ทางอ้อม (Indirect Strategies) หมายถึง กระบวนการที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาทางอ้อม
ประกอบด้วยกลยุทธ์ย่อย 3 ประการ คือ
กลยุทธ์ด้านอภิปัญญา (Metacognitive Strategies) เป็นวิธีการเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในกระบวนการคิดและการเรียนรู้ด้วยตนเองเช่น
การตั้งใจเรียน
การรู้จักจัดการและวางแผนการเรียน และการประเมินการเรียนรู้ด้วยตนเอง
กลยุทธ์ด้านอารมณ์ความรู้สึก (Affective
Strategies) เป็นวิธีที่ช่วยพัฒนาความมั่นใจในตัวผู้เรียน
ซึ่งเป็นกลยุทธ์การเรียนภาษาที่รวมถึงทัศนคติแรงจูงใจ และค่านิยมที่มีอิทธิพลต่อการเรียนภาษา
และ กลยุทธ์ด้านสังคม (Social Strategies) เป็นการส่งเสริมวิธีการเรียนโดยการถามคำถาม และการเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น
เมื่อพัฒนาตนเองแล้วเราก็ควรที่จะมีการประเมินตนเอง
เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรามีการพัฒนาได้แค่ไหน
การประเมินตนเอง
(Self assessment) เป็นกระบวนการประเมินความรู้ความสามารถวิธีหนึ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการประเมินผลโดยวิธีอื่นๆ
การประเมินตนเองทำได้โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
ใช้วัดผลและประเมินผลด้วยเครื่องมือและวิธีการที่เหมาะสม ผลที่ได้จะช่วยให้ทราบสภาพที่แท้จริงทั้งจุดเด่นและจุดด้อยและแนวทางการพัฒนา
การประเมินตนเองและพัฒนาตนเองจึงเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินควบคู่กันไป
และต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าของงานที่ปฏิบัติ
ลักษณะสำคัญของการประเมินตนเองประกอบด้วย ต้องประเมินทั้งความรู้ การแสดงออก
และความสามารถตามมาตรฐาน วิธีการประเมินต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้
การประเมินอยู่ภายใต้ข้อมูลที่มีอยู่ การแปลผล การส่งผล
และลงข้อสรุปต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล การประเมินต้องมีความเที่ยงตรง
และการประเมินตามสภาพจริงจะต้องทำหลายๆด้านไปพร้อมกัน
ภาษาอังกฤษนับวันจะทวีความสำคัญและมีความจำ
เป็นต่อการดำ เนินชีวิตมากขึ้น แต่ทักษะภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยยังอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุงเมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของนักศึกษาชาติอื่นๆ
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาเพื่อที่จะสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องจำ
เป็นอย่างยิ่ง บทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของผู้เรียนจึงขึ้นอยู่กับทั้งผู้สอนและตัวผู้เรียน
โดยผู้สอนต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กลยุทธ์ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองทั้งแบบทางตรงและทางอ้อมด้วย
หากผู้สอนได้นำกลยุทธ์ทั้งการสอนและกลยุทธ์การเรียนมาใช้น่าจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนมากขึ้นจนสามารถพัฒนาให้มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อนำ
ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคตด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น